วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565

มุอัลลิม ร็อบบานีย์ : ครูที่อิสลามต้องการ

 




        มุอัลลิม ร็อบบานี คนที่มาเรียนที่คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาฟาฏอนี้จะต้องได้ยิน และได้อ่านหนังสือชื่อนี้  ซึ่งเขียนโดยท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี และทุกครั้งที่พูดถึงคณะศึกษาศาสตร์ท่านก็จะพูดถึงหน้าที่ของคณะ ท่านก็จะยกอายัตที่มีคำ ๆ นี้อยู่

        วันหนึ่งผมได้รื้อของบางอย่างบนโต๊ะทำงานที่บ้าน(หลังจากที่ปล่อยทิ้งมาเกือบปี) ก็ได้เจอเอกสารของภรรยาตั้งไว้บนโต๊ะผม ผมก็นำมาดู รู้สึกคุ้นๆมาก เพราะรู้สึกว่าเอกสารชิ้นนี้ผมเป็นคนทำ แต่เนื้อหาไม่ใช่ เลยลองพลิก ๆ ไปดู ก็จับสำนวนงานเขียนได้ว่าเป็นของอธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา(มหาวิทยาลัยฟาฏอนี) พอไปดูหน้าสุดท้ายจึงได้ถึงบางอ้อว่าเป็นเอกสารที่ท่านทำขึ้นเพื่ออบรมผู้บริหารโรงเรียน ในเรื่องหน้าที่ของครูและหน้าที่ของผู้บริหารที่มีต่อเด็กนักเรียนและครู ท่านทำมานานแล้ว ประมาณปี 2530 กว่า ๆและช่วงนั้นผมยังเป็นครูปอเนาะเต็มรูปแบบ มีอาชีพเสริมคือรับจ้างพิมพ์งาน (เงินเดือน เดือนละพันถ้าอัลลอฮฺไม่ให้งานเสริมก็อยู่ไม่ได้..ริสกีของอัลลอฮฺมีให้แก่บ่าวของพระองค์เสมอ)

        หัวข้อในหเอกสารชิ้นนั้น คือ مربي رباني (มุร็อบบี ร็อบบานี) ถ้าจะแปลเป็นไทยก็คือ ครูผู้ผูกพันธ์กับพระเจ้า

        ในฐานะที่ผมเป็นครู และตอนนี้ก็กำลังสอนครู คำๆนี้จึงเป็นที่จูงใจผมมาก และเมื่อเป็นคำที่อัลลอฮฺสั่งเราให้เป็นอย่างความหมายในคำ ๆ นี้ เลยทำให้ผมไม่เสียเวลาที่จะไม่คิดอ่านเอกสารชิ้นนี้ และเมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกอยากบอกต่อๆ ก็เป็นที่มาที่ไปของบันทึกนี้

กุ๊ตต๊าบ(كُتَّابٌ) : สถานศึกษาใสยุคก่อน

 


        ที่ไหนที่มีการจัดการเรียนการสอน สถานที่อบรมสั่งสอนเด็ก โดยเฉพาะสถานที่ที่สอนการอ่านเขียน ซึ่งเราจะเรียกทั่ว ๆ ไปว่าเป็นสถานศึกษา ในแต่ละยุค แต่ละสมัย แต่ละแห่ง แต่ละบ้านเมืองและแต่ละวัฒนธรรมจะเรียนสถานศึกษาเป็นชื่อต่าง ๆ ตามค่านิยมของสมัยนั้น 

        ในยุคแรก ๆ ของอิสลาม แน่นอนจะต้องอ้างอิงวัฒนธรรมของคนอาหรับในคาบสมุทรอาราเบียในสมัยนั้น สถานศึกษาจึงเรียกชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า "กุ๊ตต๊าบ(كُتَّابٌ)

        เป้าหมายที่ท่านนบีมุฮำมัดที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีหรือเราะซูลก็เพื่อสอนและขัดเกลาจิตมนุษย์ให้คิด รู้สึกและปฏิบัตตามแนวทางการดำเนินชีวิตบนแนวตามวัตถุประสงค์ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา และวิธีการสอนของท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็ใช้วิธีการง่าย ๆ และทุกคนก็สามารถนำมาใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ คือ การบอกต่อๆทั้งในที่ลับตาคนหรือบรรยายและอภิปรายในที่แจ้ง เช่น ครั้งหนึ่งในช่วงแรก ๆ ที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)รับหน้าที่นี้ ท่านชวนผู้คนที่ศรัทธาในความซื่อสัตย์ของท่านมารวมตัวชุมนุมกัน ณ เนินเขาศอฟา และท่านก็ได้บอกข่าวดี บอกให้เห็นแนวทางที่จะนำสู่ความสว่าง หลีกหนีความมืดมนต์ที่อับเฉา นอกจากวิธีการนี้แล้ว เมื่อมีคนมาศรัทธามาก ๆ และพร้อมที่เรียนรู้คำสั่งสอนจากท่าน ก็ต้องสถานที่สอน อย่างเช่นท่านเคยรวมกลุ่มสอนกันที่ ดารุลอัรกอม ของบุตรอะบูอัรกอม เป็นต้น

        แน่นอนเมื่อก่อนนั้นไม่มีโรงเรียน ไม่มีวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัย และสถานศึกษาสมัยนั้นเขาเรียกว่าอะไร

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

การศึกษาและจิตวิทยาในซูเราะฮฺยูซุฟ (1) ใครคือยูซุฟ

 






การศึกษาและจิตวิทยาในสูเราะฮฺยูซุฟ (1)


ยูซุฟ คือ ใคร

        ยูซุฟ คือ นบีท่านหนึ่ง เป็นลูกของนบียะอฺกูบ ยะอฺกูบเป็นลูกของนบีอิสฮาก อิสฮากเป็นลูกของนบีอิบรอฮีม และนบีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนบีอิสมาอีลผู้มาฟื้นฟูมักกะฮฺและเป็นต้นตระกูลของนบีมุฮำมัด

        ยูซุฟเกิดจากแม่ที่อยู่ในอิรัก และตอนที่ยูซุฟเกิดนั้นอายุของนบียะอฺกูบประมาณ 95 ปี ระยะห่างระหว่างวันกำเนิดนบียูซุฟกับนบีอิบรอฮีม 251 ปี

        ชีวิตยูซุฟอัตคัตตั้งแต่เด็ก มารดาเสียชีวิตตั้งเขายังเยาววัย ก็อาศัยอยู่กับน้า เมื่อเห็นความยากลำบากยะอฺกูบผู้เป็นพ่อก็ต้องการย้ายในเขาไปอยู่ด้วยที่ชาม(แถวๆปาเลสไตน์ในปัจจุบัน) แต่เขายังต้องอยู่กับน้า แต่สุดท้ายก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหญ่กับพ่อ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมก้บพี่น้องต่างมารดา

        ยะอฺกูบจะเอ็นดูและรักยูซุฟมาก ก็เลยทำให้พี่ๆคนอื่นไม่ค่อยพอใจ ่จึงวางแผนให้เขาผละออกจากพ่อและนำไปทิ้งในบ่อน้ำ แต่อัลลอฮฺคุ้มครองยูซุฟตั้งแต่แรก ระหว่างที่เขาถูกทิ้งอยู่ในบ่อนั้น พอดีมีคนเดินทางและได้เจอยูซุฟที่ก้นบ่อจึงได้นำเขาขึ้นมา และนำไปขายในท้องตลาดที่อิยิปต์ เมื่อประมาณ 1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช

        ยูซุฟถูกขายให้เจ้านายในเมืองอิยิปต์และถูกเลี้ยงดูอย่างดี แต่เพราะความหล่อเหลาของเขาเลยถูกภรรยาของเจ้านายให้กระทำในสิ่งไม่ดีด้วยการขอนอนกับเขา ยูซุฟปฏิเสธที่จะทำตามและบอกว่าคุกเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขามากกว่า เลยต้องติดคุกเป็นเวลานาน

บริสุทธิใจหรืออิคลาศเป็นสิ่งแรกที่ครูพึงมี

 



        อิมามนะวาวีย์ได้เขียนลักษณะของครูที่พึงมีในหนังสือ المجموع และ อัลฮาฟิส อับดุลบัรฺรี ในหนังสือ جامع بيان العلم وفضله  เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูทุกคน และนำสู่การศึกษาในขั้นที่สูงขึ้นต่อไป ลักษณะหนึ่งที่ครูพึงที่ท่านได้ยกมาพูดอันดับแรกเลย คือ ความบริสุทธิใจ(อิคลาศ)

        ความบริสุทธิใจหรืออิคลาศ(اخلاص) กล่าวคือ ทุกครั้งที่จะมีการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นครู(ผู้สอน)หรือลูกศิษย์(ผู้เรียน) ควรจะทำให้จิตใจบริสุทธิผุดผ่องปราศจากลักษณะที่ทำให้จิตใจสกปรก

        ผู้รอบรู้(อุลามาอฺ)บางท่านได้กล่าวว่า "การทำจิตใจให้สะอาดเพื่อรองรับความรู้ เสมือนการเคลียร์พื้นที่เพื่อการเพาะปลูก" (المجموع  เล่ม 1 หน้า 64)

        จิต เป็นแหล่งกำเนิดพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ท่านนบีกล่าวว่า

ตัวอย่างการให้การศึกษาจากหะดีษนบี(ศ็อลฯ)

 



        นบีมุฮำหมัด(ศอลฯ) ได้เน้นในตลอดชีวิตการเป็นนบีของท่านด้วยการอบรมสั่งสอนโดยเฉพาะสำหรับเด็กๆและเยาวชน เพราะเด็กและเยาวชนคือผู้ที่จะอยู่ในสังคมผู้ใหญ่ต่อไป พวกเขาคือผู้เลือกแนวทางในสังคมให้เป็นไปอย่างสงบสุขหรือความปั่นปวน

        ในหะดีษไม่ว่าจะเป็นพูดหรือการกระทำของท่าน มีหลายบทหลายตอนที่แสดงให้เห็นว่าท่านให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษานี้มาก อย่างเช่น มีหะดีษหนึ่งที่นบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า..

طلبُ العِلمِ فريضةٌ على كلِّ مسلمٍ

        ความว่า : การแสวงหาความรู้นั้นเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน (ไม่ว่าชายหรือหญิง) (อัซซะยูฏี 5246, อิบนุมาญะฮฺ 224, หะดีษเศาะหีหฺ)

        การศึกษาหาความรู้นั้น เป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องศึกษา โดยเฉพาะวิชาความรู้ที่เป็นพื้นฐานของชีวิต (ฟัรฎูอีน) ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทางด้านศาสนาหรือการศึกษาประสบการณ์ชีวิตด้านอื่นๆ

        นอกจากตัวบุคคลเองแล้วที่เป็นผู้ต้องศึกษา ผู้รับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย โดยจะต้องจัดการศึกษาให้แก่ทุกคนอย่างเพียงพอกับความต้องการของเขา และเพียงพอกับความต้องการของสังคม ท่านนบีได้สั่งให้แก่พ่อแม่ของเด็กๆว่า

أكرِموا أولادَكُم ، وأحسِنوا أدبَهُم  (رواه ابن ماجه

        ความว่า : พวกเจ้าจงให้เกียรติลูกๆของพวกเจ้า และจงให้การอบรมสั่งสอนที่ดี (อิบนุมาญะฮฺ, อัลบานีย์ 738, หะดีษเฎาะอีฟมาก)

         ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้สอนวิธีการสอนเด็กในเรื่องละหมาดให้บิดามารดาว่า

ตัวอย่างอัตตัรบียะฮฺ(การให้การศึกษา)ในอัลกุรอาน(2):มารยาท

 



นอกจากการสอนเรื่องมารยาทต่างๆ มีกล่าวในซูเราะฮฺลุกมานอย่างที่ได้ยกมาแล้วในตอนที่แล้ว(ตัวอย่างอัตตัรบียะฮฺ(การให้การศึกษา)ในอัลกุรอาน) ในซูเราะฮฺอื่นๆ อัลลอฮฺได้บัญญัติให้มุสลิมมีมารยาทในสังคมที่ดีงาม และในบางครั้งในเน้นในการให้สอนลูกหลาน เช่น ในอายะฮฺที่ 59 ซูเราะฮฺ อัน-นูร พระองค์ได้ตรัสว่า..

 وَإِذَا بَلَغَ الْأَطْفَالُ مِنكُمُ الْحُلُمَ فَلْيَسْتَأْذِنُوا كَمَا اسْتَأْذَنَ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ 
كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ وَاللَّهُ  عَلِيمٌ 
حَكِيمٌ   (النور : 59) 

       ความว่า : และเมื่อเด็ก ๆ ในหมู่พวกเจ้าบรรลุศาสนภาวะ ก็จงให้พวกเขาขออนุญาตเช่นเดียวกับบรรดาชนก่อนหน้าพวกเขาได้ขออนุญาต เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงชี้แจงโองการทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ (อันนูร : 24/59)

       คือ ในเวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว และเมื่อถึงวัยอันควรแล้วเด็กจะเข้าไปหาบิดาหรือมารดาก็ควรขออนุญาต

        นอกจากนี้อัลลอฮฺได้บรรยายถึงลักษณะของ อิบาดุรเราะห์มาน(บ่าวของผู้เมตตา) ซึ่งเป็นลักษณะที่ผู้ปกครองหรือครูบาอาจารย์ควรฝึกฝนและปลูกฝังให้มีอยู่ในตัวเด็ก โดยในซูเราะฮฺ อัล-ฟุรกอน อายะฮฺที่ 63-69 พระองค์ตรัสว่า

ตัวอย่างอัตตัรบียะฮฺ(การให้การศึกษา)ในอัลกุรอาน



ตัวอย่างในซูเราะฮฺ ลุกมาน


        อัลกุรอานได้ชี้แนะแก่บรรดาพ่อแม่และครูบาอาจารย์ ในเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกหลาน โดยให้เห็นถึงความสำคัญของการให้การศึกษาหรือการอบรมสั่งสอนลูกหลาน ด้วยการยกตัวอย่างประวัติการอบรมลูกหลานของบุคคลในยุคต่าง เพื่อเป็นบทเรียน และเป็นแบบอย่างที่ดีที่ต้องคำนึงถึง

อัลลอฮฺได้ตรัสในซูเราะฮฺยูซุฟ เมื่อพระองค์ได้ยกเรื่องราวของนบียูซุฟให้พวกเราได้เรียนรู้ว่า


لَقَدْ كَانَ فِي قَصَصِهِمْ عِبْرَةٌ لأُوْلِي      (يوسف : 111)

                  ความว่า โดยแน่นอนยิ่ง ในเรื่องราวของพวกเขา เป็นบท
เรียนสำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญา (ยูซุฟ 12/111)

                ในซูเราะฮฺ ลุกมาน อายะฮฺที่ 13-19 อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

ปรัชญาการศึกษาจากซเราะฮฺ อัล-อัศริ

 

ถ้าทุกคนไม่อยากเป็นผู้ขาดทุนก็ต้องเป็น "ครู" ที่เผยแพร่สัจธรรม

           ในอัลกุรอาน บทที่หรือซูเราะฮฺ 103 ที่มีชื่อว่า ซูเราะฮฺ อัล-อัศริ  (سورة العصرเป็นซูเราะฮฺสั้น ๆ มีเพียง อายะฮฺ หรือ โองการ อ่านง่าย ท่องง่าย และศึกษาความหมายเข้าใจง่ายด้วย ฉะนั้นคนมุสลิมส่วนใหญ่แล้วจะท่องได้ และบางคนที่จำอัลกุรอานได้ไม่มากนัก มักจะนำซูเราะฮฺนี้มาอ่านเวลาละหมาด

وَالْعَصْرِ (١)
إِنَّ الْإِنْسَانَ لَفِي خُسْرٍ (٢)

إِلَّا الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ وَتَوَاصَوْا بِالْحَقِّ وَتَوَاصَوْا بِالصَّبْرِ (٣)

        ความว่า :  1. ขอสาบานด้วยกาลเวลา
                         2. แท้จริงมนุษย์นั้น อยู่ในการขาดทุน 
                         3. นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน

        อิมามชาฟีอีย์ มีความเห็นว่า ผู้ใดได้ศึกษาซูเราะฮฺนี้อย่างจริงจัง เพียงพอแล้วสำหรับเขา

การอ่านคือจุดเริ่มต้นของการศึกษา

จงอ่าน ด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าผู้
เป็นผู้ทรงสร้าง

มีคนเคยตั้งคำถามชวนคิดเรื่องหน้าที่ของมนุษย์ โดยเขากล่าวว่า... 

        ถ้าท่านถูกนำไปทิ้ง ณ สถานที่ที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
        ท่านไม่รู้มันคือที่ใด และมีความสำคัญกับท่านอย่างไร
        แต่ท่านก็ถูกนำมาทิ้ง ณ ที่นั้น ท่านไม่เรียกร้องที่จะมา
        ท่านไม่เคยเลือกและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในการเลือก ณ สถานที่นั้น
        ท่านก็ได้อยู่ ณ ที่นั้นแล้ว อยู่ๆ ท่านก็เจอคนๆ หนึ่งเขาบอกท่านว่า เขาคือ ผู้ที่จะนำท่านสู่ความปลอดภัย โดยมี หนังสือเล่มหนาๆ เล่มหนึ่ง บอกว่า นี่คือคัมภีร์ที่เป็นแนวทางดำรงชีวิตของท่าน เป็นเสมือนธรรมนูญชีวิต
        ท่าน จะด่วนปฏิเสธเขา หรือ...?
        ท่าน ไม่ทดสอบก่อนหรือว่า ในคัมภีร์นั้น เป็นจริงหรือเท็จ..?

ทำไมต้องเป็นการศึกษาอิสลาม

 สหรัฐอเมริการทุ่มทุนมหาศาลให้ประชาชนเลิกดื่มเหล้าแต่ในที่สุดต้องยกเลิกกฎหมายห้ามดื่มเหล้า แต่อิสลามสามารถทำให้คนเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด .. เพราะด้วยการศึกษาแบบอิสลาม..ถึงทำได้ !!!

     

        เมื่อครั้งมีการประชุมสาขาการสอนอิสลามศึกษา ก็มีการพูดคุยเรื่องวิชาที่เปิดสอนในภาคฤดูร้อนนี้ วิชาหนึ่งเป็นวิชาที่น่าสนใจมาก คือ วิชาการศึกษาอิสลาม หรือ Islamic Education ภาษาอาหรับเรียกว่า التربية الإسلامية เพราะเป็นวิชาที่ผมสนใจศึกษาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.ตรี แม้จะได้จบด้านการศึกษาโดยตรงแต่จบคณะศึกษาศาสตร์ และเป็นสถาบันที่อยู่ในโลกมุสลิมที่เคร่งศาสนา ดังนั้นวิชาที่นี้เป็นวิชาที่เขาบังคับในนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์เรียนทุกคน และผมก็ได้ลงอีกหลายวิชาเป็นวิชาเลือก

        อาจารย์บางท่านพูดว่า วิชานี้ไม่มีอะไรมาก เป็นการสอนประวัติการศึกษาในอิสลาม แต่มีอาจารย์บางท่านบอกว่า วิชานี้น่าจะบังคับในนักศึกษาหลักสูตรการสอนนี้เรียนทุกคน ผมกลับมองไม่เฉพาะแค่นั้น วิชานี้เราในฐานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาอิสลามแห่งเดียวที่มีอยู่ในประเทศไทย และเป็นหนึ่งอีกไม่กี่แห่งของโลก เราควรศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจทำวิจัย จนได้ความรู้ใหม่ที่สามารถเผยแพร่แก่บุคคลทั่วๆได้รับรู้ และได้ประโยชน์ ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม และอาจเป็นแนวทางหนึ่งที่จะได้นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในบ้านเมืองแทนที่จะยึดเอาแนวของตะวันตกทุกอย่าง .... (ระวังจะตกรูแย้)

        ด้วยความตระหนักในจุดนี้ (กันลืม)ผมก็ได้กลับไปพลิกดูบทความเก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เจอหลายเรื่องเหมือนกัน(บางเรื่องยังเป็นฉบับร่างอยู่) และคิดว่าน่าจะนำมารวบรวมและเผยแพร่ ในบุคคลทั่วไปทราบ จึงเป็นที่มาของบันทึกนี้ .. และคิดว่า บันทึกอาจทำประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในวิชานี้ .....

การศึกษาอิสลาม Islamic Education التربية الإسلامية 

        การศึกษาอิสลามหรือการศึกษาในอิสลาม มีความเกี่ยวข้องกับมุสลิมทุกคน ไม่ได้เจาะจงเฉพาะครูหรือผู้ที่จะเป็นครูเท่านั้นที่จะต้องเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษา ครูหรืออาจารย์อาจเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้กระบวนการนำสารอิสลามสู่ผู้เรียน ส่วนบุคคลอื่นนั้นเกี่ยวข้องในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ที่รับสารนั้น 

        ทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ และทุกยุคทุกสมัย มนุษย์จะต้องมีแนวการศึกษาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อาจจะคล้ายคลึงกันบ้างระหว่างชนชาติ หรืออาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นขึ้นอยู่กับปราชญาการดำเนินชิวิตของชนนั้นๆ 

        เป้าหมายหลักของการศึกษาคือ การสร้างคนในตอบสนองความต้องการของชาติหรือผู้ปกครอง  

อัลกุรอาน คือ หลักสูตรการศึกษาในอิสลาม

 


        ชายหนุ่มทีชื่อ มุฮำมัด บุตร อับดุลลอฮฺ กำพร้าพ่อและแม่มาแต่เด็ก แม้จะมีศักดิ์ตระกูลที่ดี แต่ก็เติบโตอาศัยความเมตตาของลุงที่เลี้ยงเขามา ไม่มีพรรคพวก ไม่มีอำนาจอันใดที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจักจูงคน นอกจากความดีและความซื่อสัตย์ แต่เขาสามารถที่จะรวบรมชนชาติอาหรับ สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้แก่โลกมนุษย์

  • สามารถรวบรวมชนชาติที่มีแต่ความขัดแย้งและเข่นฆ่ากันมาเป็นชนชาติเดียวที่รักกันแน่แฟ้นดังพี่น้องคลานจาท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน
  • สามารถสร้างพลังที่แข็งแกร่งแก่ชนอาหรับที่เคยมีแต่ความอ่อนแอ
  • สามารถเปิดโลกทัศน์แก่ชนไม่รู้หนังสือ เป็นคนที่รู้จักอ่านและมีแนวความคิดที่กว้างไกล
  • สามารถทำให้ชนเผ่าเบดูอีนที่มีชีวิตเร่ร่อน ไร้อรยธรรม เป็นเป็นประชาชาติที่มีความเจริญ 
  • สามารถทำให้กลุ่มชนที่เดินด้วยเท้าเปล่า กลายเป็นชนชาติที่ดีที่สุดที่ออกไปเผยแผ่แก่ชาวโลก
كُنتُمْ خَيْرَ أُمَّةٍ أُخْرِجَتْ لِلنَّاسِ تَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَتَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنكَرِ وَتُؤْمِنُونَ
[آل عمران : 110] 
        ความว่า พวกเจ้าคือกลุ่มคนที่ดีที่สุด ถูกให้ออกสู่มวลมนุษย์ และเชิญชวนให้ทำในสิ่งที่ดีและห้ามปรามการทำชั่ว (อาลาอิมรอน : 3/110)
        มุฮำมัดไม่ใช่นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่คิดค้นแนวทางใหม่ๆ แล้วเผยแพร่แนวคิดสู่มวลนำสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 
        มุฮำมัดไม่ใช่กษัตริย์หรือราชาหรือจักรพรรคที่ทรงอำนาจสามารถสั่งผู้คนภายใต้การปกครองให้ปฏิบัติตาม
        มุฮำมัดไม่ใช่นักปฏิวัติที่สามารถปฏิวัติสังคมตามแนวคิดของตนเองได้ แต่มุฮำเป็นนบี เป็นเราะซูลของอัลลอฮฺ มีหน้าที่เผยแพร่สิ่งที่อัลลอฮฺบัญชา เป็นแบบอย่างให้แก่มวลมนุษย์ และนำมนุษย์สู่การเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็น หรือตามที่อัลลอฮฺต้องการ
        เขาไม่มีแนวคิด ปรัชญา หรือทฤษฎีต่างๆ ที่ได้จากการคิดค้นของมนุษย์ แต่เขามีศาสน์ที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ ผู้ครอบครองมนุษย์ และเป็นผู้อภิบาล ในทุกสิ่ง มาเผยแพร่แก่มนุษย์ 
        สร้างและเปลี่ยนแปลงสังคมไปตามศาสน์นั้น ตามขั้นตอนที่ได้กำหนดมา
        เนื้อหาของศาสน์นั้น ประกอบด้วย ความเชื่อ(อะกีดะห์) การภักดี(อิบาดะห์) กฎเกณฑ์(ชะรีอะห์)
        อะกีดะฮฺ คือ หลักและธรรมชาติ(ฟิตเราะฮฺ) อิบาดะฮฺ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบ่าวกับพระเจ้า ชะรีอะฮฺ คือ ระบบ ระเบียบ นำความสงบสุขต่อสังคม
        แก่นหลักของศาสน์ คือ จริยะ(อัคลาก) และการทำดี(อิฮฺซาน)
        วิธีการของมัน คือ แบบอย่างและการศึกษา
        และสนามแรกของมัน คือ การเปลี่ยนแปลงภายในตัวบุคคล หรือเปลี่ยนแปลงทางจิต
        ศาสน์นั้นก็ คือ อัลกุรอาน

                หลักสูตรการศึกษาอิสลาม คือ หลักสูตรที่เป็นไปตามขั้นตอนที่อัลกุรอานกำหนด       

----------------- 
บทความนี้เป็นบทความที่ผมเขียนเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และโพสลใน เขียนใน GotoKnow

ความหมายของการศึกษาอิสลาม(อัต-ตัรบียะฮฺ อิสลามียะฮฺ:التربية الإسلامية)

 

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฎอนี้ 
สถานศึกษาศึกษาศาตร์ที่วางรากฐานบนการศึกษาอิสลาม


        ก่อนที่เราจะพูดถึงความหมายการศึกษาอิสลาม หรือ อัตตัรบียะห์อิสลามียะห์
(التربية الإسلامية) เราลองมาททวนความหมายของการศึกษาตามแนวคิดของนักการศึกษาตะวันตกและนักการศึกษาไทย

        ยัง ยัคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า การศึกษาคือ การปรับปรุงคนให้เหมาะกับโอกาสและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
        หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาคือการนำความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

        โจฮัน เฟรดเดอริค แฮร์บาร์ต (John Friedich Herbart) ให้ความหมายของการศึกษาว่า การศึกษาคือ การทำพลเมืองให้มีความประพฤติดี และมีอุปนิสัยที่ดีงาม

         เฟรด ดเอริค เฟรอเบล (Friedrich Froebel) การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเพื่อให้เด็กพัฒนาตนเอง

         จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้หลายความหมาย คือ
         1. การศึกษาคือชีวิต ไม่ใช่เตรียมตัวเพื่อชีวิต
         2. การศึกษาคือความเจริญงอกงาม
         3. การศึกษาคือกระบวนการทางสังคม
         4. การศึกษาคือการสร้างประสบการณ์แก่ชีวิต

         คาร์เตอร์ วี. กู๊ด (Carter V. Good) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ 3 ความหมาย คือ
         1. การศึกษาหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่บุคคลนำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ เจตคติ ความประพฤติที่ดีมีคุณค่า และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม
         2. การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคมที่ทำให้บุคคลได้รับความรู้ความสามารถจากสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนจัดขึ้น
         3. การศึกษาหมายถึงการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา

         ม.ล.ปิ่น มาลากุล การศึกษาเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามในตัวบุคคล

         ดร. สาโช บัวศรี การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคคลและสังคมที่ทำให้คนได้มีการเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม

        ทั้งหมดนี้เป็นการให้ความหมายของการศึกษาตามทัศนะของนักการศึกษาในช่วงศตวรรษ์ที่ผ่านมา ซี่งสรุปได้ว่า การศึกษา เป็นกระบวนการให้ส่งเสริมให้บุคคลเจริญเติบโตและมีความเจริญงอกงามทางกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาจนเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณธรรมสูง

ความหมายการศึกษา(อัตตัรบียะฮฺ) ในอิสลาม
          คำว่า
التربية (อัตตัรบียะฮฺ)หรือ التربية الإسلامية (อัตตัรบียะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ) ไม่มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน หรือ ในหะดีษ หรือแม้แต่ในตำราเก่าของอุลามาอฺที่เป็นที่รู้จักก็ไม่ได้บัญญัติคำนี้มา แต่จะใช้คำอื่นแทนคำอัตตัรบียะฮฺ ซึ่งเราจะได้พูดคุยต่อไป (ติดตามอ่านได้ที่นี้ คำว่า "ตัรบียะฮฺ :التربية"(การศึกษา ) เป็นคำใหม่ในอิสลาม)

          ถ้าเราเปิดพจนานุกรมาอาหรับ เราจะพบการให้ความหมายของคำว่า التربية มาจากรากศัพท์ต่อไปนี้

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

คำว่า "ตัรบียะฮฺ :التربية"(การศึกษา ) เป็นคำใหม่ในอิสลาม

 



คำว่า "ตัรบียะฮฺ :التربية"(การศึกษา ) เป็นคำใหม่ในอิสลาม


        การศึกษาไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษย์ ตั้งแต่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างอาดัมขึ้นมา พระองค์ก็สอนท่านให้รู้จักชื่อต่างๆ ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัส ในซูเราะห์ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายัตที่ 31 ว่า

وَعَلَّمَ آدَمَ الأَسْمَاء كُلَّهَا.. [البقرة : 31]

        ความว่า : และพระองค์ได้ได้สอนอาดัมรู้จักชื่อของทุกสิ่ง..

        ท่านนบี(ศอลฯ) ได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า

كل مولود يولد على الفطرة ‏ فأبواه يهودانه أو ينصرانه أو يمجسانه

        ความว่า : ทุกชีวิตที่เกิดมา เกิดมาบนครรลองที่อัลลอฮฺกำหนดไว้ แต่พ่อแม่ของเขาทำให้เขาเป็นยะฮูด(ยิว) หรือนะศอรอ(คริสต์) หรือ มะญูซี(ลัทธิบูชาไฟ)

        เด็กที่คลอดออกมาจากท้องแม่ เกิดมาบนแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ที่ทำให้เป็นมีพฤติกรรมเบียงเบนหรือเป็นที่ไม่ต้องการนั้น เกิดจากครอบครัว ญาติพี่น้อง สังคม สิ่งแวดล้อมหรือการศึกษาที่เด็กได้รับมา

        อิสลามเป็นศาสนาหนึ่งที่เน้นการศึกษาตั้งแต่การเริ่มต้นของชีวิต อิสลามสอนให้ผู้ที่ถึงวัยจะสืบทอดทางพันธุกรรมเน้นตั้งแต่การเลือกคู่ครองของพ่อและแม่ของสมาชิกที่จะมาใหม่ เพราะพ่อและแม่จะได้เป็นครูที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กที่จะใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมและถูกต้องที่อยู่ในสังคมเมื่อเติบใหญ่

        ท่านหญิงอาอีชะฮฺ(รอฎิฯ)รายงายว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า

 تُنْكَحُ الْمَرْأَةُ لأَرْبَعٍ : لِمَالِهَا ، وَلِحَسَبِهَا ، وَجَمَالِهَا ، وَلِدِينِهَا ، فَاظْفَرْ بِذَاتِ الدِّينِ تَرِبَتْ يَدَاكَ 

        ความว่า : ชายเลือกแต่งงานกับหญิงที่มีลักษณะสี่อย่างด้วยกัน คือ แต่งเพราะทรัพย์ของนาง เพราะเกียรติยศของนาง เพราะความสวยของนาง และเพราะศาสนาของนาง เจ้าจงเลือกผู้ที่เพรียบพร้อมด้วยศาสนาแม้ว่ามือจะคลุกฝุ่นก็ตาม

ปรัชญาการศึกษาและปรัชญาการศึกษาอิสลาม

 




        ปรัชญาการศึกษา หมายถึง ความเชื่อหรือความคิดที่เกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งแสดงออกมาในรูปของอุดมการณ์ ทฤษฎีต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการศึกษา โดยปกติแล้วปรัชญาการศึกษาจะคำตอบคำถาม 2 ประการคือ

  1. การศึกษาจะพัฒนาคนให้มีคุณลักษณะอย่างไร
  2. อะไรคือความรู้ที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อมนุษย์

แนวปรัชญาการศึกษาของบุคคลยุคต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้

โซฟีสต์ เป็นกลุ่มนักปรัชญาที่เริ่มมีความคิดเกี่ยวกับเป้าหมายของการศึกษา ว่า การศึกษาต้องสามารถทให้ผู้เรียนได้รับความสำเร็จในการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง

โสคราตีส มีความเห็นว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การค้นพบสัจธรรมหรือความจริงเชิงปรนัย

เพลโต เป็นคนแรก ที่กล่าวถึงเป้าหมายการศึกษาอย่างชัดเจน โดยมีความเห็นว่า เป้าหมายการศึกษา คือ การทำให้บุคคลตระหนัก ได้ชัดเจนว่าเขาสมควรเป็นชนชั้นไหนในสังคม

เซนต์ ออกัสติน มีความเห็นว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การมุ่งหวังให้ผู้เรียนกลับใจไปรักพระเจ้า(Conversion) และสำนึกบาปของตน(Repentance) ทั้งนี้ เพราะการกลับใจไปรักพระเจ้าย่อมทำให้มนุษย์พบกับความสุขที่แท้จริง

จอห์น ล็อค มีความเห็นว่า เป็าหมาขของการศึกษาควรมุ่งสู่สังคมและรัฐ ไม่ใช่อาณาจักรของพระเจ้า เป้าหมายดังกล่าว คือ การรักษารัฐที่ให้ควมมั่นคงในสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล

รุสโซ มีความเห็นว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การให้ผู้เรียนได้เติบโตตามแนวโน้มแห่งธรรมชาติของตน การศึกษาจึงเป็นอิสระจากสังคมและอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ผลของการให้การศึกษาในลักษณะดังกล่าวนี้คือ ผู้เรียนสามารถเป็นตัวของตัวเอง จากนั้น จึงเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมและการมุ่งสู่ความดีของสังคมทั้งสังคมโดยละเลยผลประโยชน์เฉพาะตนและเฉพาะกลุ่มลงเสีย  

ปรัชญาปฏิบัตินิยม ปรัชญาปฏิบัตินิยมมีความเชื่อว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้พร้อมที่จะแก้ปัญหาของตนด้วยตนเอง ดังนั้น การศึกษาต้องมุ่งให้เกิดผล ที่ปฏิบัติได้ มิใช่มุ่งการเรียนรู้แต่ทฤษฎีเท่านั้น

ปรัชญาอัตถิภาวนิยม ปรัชญาอัตถิภาวนิยมมีความเชื่อว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การเป็นตัวของตัวเองของผู้เรียน และความเป็นอิสระของผู้เรียน และประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้เรียน

รัฐฟาสซิสต์ ปรัชญาการศึกษาของรัฐฟาสซิสต์ คือ ผู้เรียนต้องเสียสละตัวเองและมุ่งสู่เป้าหมายของรัฐ

รัฐประชาธิปไตย ปรัชญาการศึกษาของรัฐประชาธิปไตย คือ การศึกษามุ่งสู่จุดหมายของปัจเจกบุคคลมิใช่รัฐ ดังนั้น รัฐประชาธิปไตยจึงชื่นชมปรัชญาการศึกษาแบบปรัชญาปฏิบัตินิยม และปรัชญาอัตถิภาวนิยมมากกว่า

        ส่วนปรัชญาการศึกษาอิสลามนั้น ต้องคำนึงถึงเป้าหมายของการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมา ในอัลกุรอาน อายัตที่ 30 สูเราะห์อัลบะเกาะเราะฮฺ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

وَإِذْ قَالَ رَبُّكَ لِلْمَلاَئِكَةِ إِنِّي جَاعِلٌ فِي الأَرْضِ خَلِيفَةً ..[البقرة : 30] 

        ความว่า และจงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสแก่มะลาอิกะฮฺว่า แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งในแผ่นดิน

        อาดัม คือ มนุษย์คนแรกที่อัลลอฮฺสร้างมา โดยอัลลอฮฺได้ตรัสให้มะลาอิกะฮฺทราบว่า พระองค์ได้สร้าง เคาะลีฟะฮ บนพื้นดิน และเคาะลีฟะห์ก็คือผู้ที่จัดการสรรพสิ่งบนโลกแทนพระองค์  

        พระองค์(อัลลอฮฺคือ ผู้ครอบครอง และเรา(มนุษย์)เป็นผู้ถือครอง เราจะจัดการอย่างไรก็ได้บนโลกนี้ ในลักษณะเป็นตัวแทนพระองค์ ดังนั้นการจัดการของเรา(มนุษย์)นั้น ต้องอยู่กรอบและขอบเขตที่พระองค์กำหนด

        อัลลอฮฺได้ตรัสในอีกอายัตหนึ่งว่า

 وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالْإِنسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ [الذاريات : 56]

        ความว่า และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า (อัลกุรอาน ซูเราะห์ อัซซารียาต / 56)

        มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการภักดีต่ออัลลอฮเท่านั้นฉะนั้นการศึกษาในอิสลามควรจะเน้นในเรื่องการสร้างคนให้เป็นคนดี ภักดีต่ออัลลอฮฺ ยึดหลักอัลกุรอานเป็นธรรมนูญชีวิต และหะดีษนบีเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

        ในเวลาเดียวกันก็ต้องฝึกฝนและเตรียมพร้อมมนุษย์สำหรับการทำมาหากินอย่างมีความสุข

وَابْتَغِ فِيمَا آتَاكَ اللَّهُ الدَّارَ الْآخِرَةَ وَلَا تَنسَ نَصِيبَكَ مِنَ الدُّنْيَا [القصص : 77]

        ความว่า เจ้าจงแสวงหาในสิ่งที่อัลลอฮฺให้แก่เจ้าในภพอะคีเราะฮฺ และเจ้าก็อย่าลืมวาสนาของเจ้าจากพื้นแผ่นดิน (อัลกุรอาน ซูเราะห์ที่ อัลกอศอศฺ / 77)


-------------------------

บทความสั้นๆนี้ ผมได้เขียนลงใน https://www.gotoknow.org/posts/90458 เมื่อ เขียนเมื่อ 15 เมษายน 2007 14:20 น. (หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว)

ริยาดุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 11 (ทำดี 1 ความดีจะได้ผลบุญ 10 เท่าหรือมากกว่า)

 



وَعَنْ أبي الْعَبَّاسِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عبَّاسِ بْنِ عَبْدِ الْمُطَّلِبِ رَضِي اللهُ عنهما، عَنْ رَسُول الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم، فِيما يَرْوى عَنْ ربِّهِ، تَبَارَكَ وَتَعَالَى قَالَ:

"إِنَّ اللهَ كتَبَ الْحَسَنَاتِ والسَّيِّئاتِ ثُمَّ بَيَّنَ ذلِكَ: فمَنْ هَمَّ بِحَسَنةٍ فَلمْ يعْمَلْهَا كتبَهَا اللَّهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى عِنْدَهُ حَسَنَةً كامِلةً وَإِنْ همَّ بهَا فَعَمِلَهَا كَتَبَهَا اللَّهُ عَشْر حَسَنَاتٍ إِلَى سَبْعِمَائِةِ ضِعْفٍ إِلَى أَضْعَافٍ كثيرةٍ، وَإِنْ هَمَّ بِسيِّئَةِ فَلَمْ يَعْمَلْهَا كَتَبَهَا اللَّهُ عِنْدَهُ حَسَنَةً كامِلَةً، وَإِنْ هَمَّ بِها فعَمِلهَا كَتَبَهَا اللَّهُ سَيِّئَةً وَاحِدَةً"

متفقٌ عليهِ.

 

ความว่า :

รายงานจาก อะบู อัลอับบาส อับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาส อิบนุ อับดุลมุฏฏอลิบ(รอฎิฯ) ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้อธิบายความหมายในสิ่งที่ได้รับจากพระผู้อภิบาลของท่าน(ตะบาเราะกะวะตะอาลา) โดยได้กล่าวว่า

แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดความดีและความไม่ดี.. แล้วได้ให้รายละเอียดในสิ่งนั้นว่า .. ผู้ใดที่ตั้งใจที่จะกระทำในสิ่งที่ดีและไม่ได้กระทำอัลลอฮฺ(ตะบาเราะกะวะตะอาลา)ก็จะทรงบันทึกที่พระองค์เป็นหนึ่งความดีที่ครบถ้วน และเมื่อตั้งใจแล้วได้กระทำในความดีนั้นอัลลอฮฺก็จะบันทึกที่พระองค์เป็นความดีจำนวนสิบความดีถึงเจ็ดร้อยเท่า จนหลายเท่าตัวมากมาย และเมื่อตั้งใจจะกระทำในสิ่งที่ไม่ดีและไม่ได้กระทำในสิ่งนั้น อัลลอฮฺก็จะบันทึกที่พระองค์ด้วยความดีหนึ่งความดี และถ้าตั้งใจกระทำความชั่วและได้กระทำในความชั่วนั้น อัลลอฮฺก็จะบันทึกความชั่วหนึ่งความชั่ว

มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ (ทั้งอัลบุคอรีย์และมุสลิมได้บันทึกเหมือนๆกัน)

يَرْوى عَنْ ربِّهِ  (รายงานจากสิ่งที่ได้รับจากอัลลอฮฺ)  คำรายงานจากนบีในลักษณะนี้จะเรียกว่า หะดีษกุดซี (حديث قدسي) การประทานสารของอัลลอฮฺที่ผ่านเราะซูลหรือนบีของพระองค์นั้น อัลลอฮฺจะประทานในลักษณะต่างๆหลายรูปแบบ เช่น การดลใจ การให้ความฝันหรือด้วยวิธีการอื่น ท่านนบีก็จะอธิบายหรือเล่าต่อให้บรรดาเศาะฮาบะฮฺรับรู้  หะดีษกุดซีนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกันกับอัลกุรอาน  ไม่ว่าเป็นเป็นความมหัศจรรย์ การเล่าสืบทอดต่อๆกันเป็นกลุ่ม การจับต้องที่ต้องมีน้ำละหมาด หรืออื่นๆที่เป็นลักษณะเฉพาะของอัลกุรอาน

ริยาดุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 10 (ตั้งใจไปละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสยิด จะได้ผลบุญทุกย่างก้าวที่ก้าว)

เดินไปมัสยิด
"แบ" กำลังเดินไปมัสยิด ไปละหมาด
(ภาพจาก http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=365795)


وَعَنْ أبي هُرَيْرَةَ رَضِيَ الله عنه قَالَ: قَالَ رَسُولُ الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم:

"صَلاَةُ الرَّجُلِ في جماعةٍ تزيدُ عَلَى صَلاَتِهِ في سُوقِهِ وَبَيْتِهِ بضْعاً وعِشْرينَ دَرَجَةً، وذلِكَ أَنَّ أَحَدَهُمْ إِذا تَوَضَّأَ فَأَحْسَنَ الْوُضُوءَ، ثُمَّ أَتَى الْمَسْجِد لا يَنْهَزُهُ إِلاَّ الصَّلاَةُ، لا يُرِيدُ إِلاَّ الصَّلاَةَ، لَمْ يَخطُ خُطوَةً إِلاَّ رُفِعَ لَهُ بِها دَرجةٌ، وَحُطَّ عَنْهُ بِهَا خَطيئَةٌ حتَّى يَدْخلَ الْمَسْجِدَ، فَإِذَا دَخَلَ الْمَسْجِدَ كانَ في الصَّلاَةِ مَا كَانَتِ الصَّلاةُ هِيَ تحبِسُهُ، وَالْمَلائِكَةُ يُصَلُّونَ عَلَى أَحَدِكُمْ مَا دَامَ في مَجْلِسهِ الَّذي صَلَّى فِيهِ، يقُولُونَ: اللَّهُمَّ ارْحَمْهُ، اللَّهُمَّ اغْفِرْ لَهُ، اللَّهُمَّ تُبْ عَلَيْهِ، مالَمْ يُؤْذِ فِيهِ، مَا لَمْ يُحْدِثْ فِيهِ "

متفقٌ عليه، وهَذَا لَفْظُ مُسْلمٍ. وَقَوْلُهُ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم: "ينْهَزُهُ"هُوَ بِفتحِ الْياءِ وَالْهاءِ وَبالزَّاي: أَي يُخْرِجُهُ ويُنْهِضُهُ.

ความว่า :

รายงานจากอะบูฮุร็อยเราะฮฺ (รอฎิฯ)ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

การละหมาดของชายคนหนึ่งที่ละหมาดร่วมกับบุคคลอื่น(ละหมาดญะมาอะฮฺ) จะมีบุญเพิ่มจากการละหมาดของเขาที่ร้านหรือที่บ้านมากกว่า 20 เท่า ถ้าเขาอาบน้ำละหมาดอย่างสมบูรณ์ แล้วเดินไปสู่มัสยิดไม่ได้ไปเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากเพื่อการละหมาดเท่านั้น เขาจะไม่ก้าวขาออกไปเว้นแต่เพื่อการละหมาด ก้าวของเขาที่ย่างแต่ละก้าวจะเพิ่มฐานะ(ผลบุญของตัวเอง)สูงไปเรื่อยๆตามจำนวนก้าวที่เขาเดิน และจะลบบาปที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขาจนกระทั่งเขาได้เข้าไปในมัสยิด  เมื่อเขาได้เข้าไปในมัสยิดแล้ว เขาก็จะได้รับบุญอย่างที่เขาละหมาด และการละหมาดได้ตรึงตัวเขาให้อยู่ในมัสยิด บรรดามะลาอิกะฮฺก็ขอดุอาให้แก่คนหนึ่งในพวกเจ้า ตราบใดที่เขาอยู่ในสถานที่เขาละหมาด โดยกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงเมตตาแก่เขา โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงยกโทษแก่เขา โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงลุโทษแก่เขา” ตราบใดที่เขาไม่กระทำในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นไม่พูดคุยเรื่องทางโลก ไม่เล่ากล่าวนินทาผู้อื่น ไม่ทำร้ายกัน และอื่นๆ และเขายังคงอยู่ในสภาพที่ไม่เสียน้ำละหมาด”

ริยาดุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 9 (คนฆ่าและคนที่ถูกฆ่าต่างก็ตกนรก)

 





وعن أبي بَكْرَة نُفيْعِ بْنِ الْحارِثِ الثَّقفِي رَضِي الله عنه أَنَّ النَّبِيَّ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم قَالَ:

"إِذَا الْتقَى الْمُسْلِمَانِ بسيْفيْهِمَا فالْقاتِلُ والمقْتُولُ في النَّارِ" قُلْتُ: يَا رَسُول اللَّهِ، هَذَا الْقَاتِلُ فمَا بَالُ الْمقْتُولِ؟ قَال: " إِنَّهُ كَانَ حَرِيصاً عَلَى قَتْلِ صَاحِبِهِ"

متفقٌ عليه.

 

ความว่า :

รายงานจาก อะบูบักเราะฮฺ นุฟีอฺ อิบนุ อัลหาริษ อัษษะเกาะฟียฺ (รอฎิฯ) ว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าว

เมื่อมุสลิมสองคนได้ปะทะกันด้วยดาบทั้งสองของเขา(ต่อสู้กัน) คนฆ่าและคนถูกฆ่าตกนรก

ฉันก็ถามว่า

“โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ.. นี้คนฆ่า แล้วคนถูกฆ่ามีความผิดอะไรด้วย?”

เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ก็ตอบว่า

เพราะเขาพยายามฆ่าคนสหายของเขา

บันทึกโดย มุตตะฟะกุนอะลัยฮิ (อัลบุคอรียฺและมุสลิม)


 ---------------------------

อธิบายหะดีษ