วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 52(50) : ความประเสริฐของคนที่ทำให้ศาสนาของเขาบริสุทธิ

 

640x392_80467_220449


حَدَّثَنَا أَبُو نُعَيْمٍ ، حَدَّثَنَا زَكَرِيَّاءُ ، عَنْ عَامِرٍ ، قَالَ : سَمِعْتُ النُّعْمَانَ بْنَ بَشِيرٍ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، يَقُولُ :

” الْحَلَالُ بَيِّنٌ وَالْحَرَامُ بَيِّنٌ ، وَبَيْنَهُمَا مُشَبَّهَاتٌ لَا يَعْلَمُهَا كَثِيرٌ مِنَ النَّاسِ ، فَمَنِ اتَّقَى الْمُشَبَّهَاتِ اسْتَبْرَأَ لِدِينِهِ وَعِرْضِهِ ، وَمَنْ وَقَعَ فِي الشُّبُهَاتِ كَرَاعٍ يَرْعَى حَوْلَ الْحِمَى يُوشِكُ أَنْ يُوَاقِعَهُ ، أَلَا وَإِنَّ لِكُلِّ مَلِكٍ حِمًى ، أَلَا إِنَّ حِمَى اللَّهِ فِي أَرْضِهِ مَحَارِمُهُ ، أَلَا وَإِنَّ فِي الْجَسَدِ مُضْغَةً إِذَا صَلَحَتْ صَلَحَ الْجَسَدُ كُلُّهُ وَإِذَا فَسَدَتْ فَسَدَ الْجَسَدُ كُلُّهُ ، أَلَا وَهِيَ الْقَلْبُ ” .

ความว่า :
        อะบูนะอีม ได้บอกแก่เราว่า ซาการีย์ยาได้บอกแก่เราว่า อามิรฺได้รายงาน เขาได้ยิน อันนุอฺมาน อิบนุบะชีรฺ กล่าวว่า : ฉันได้ยินเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) กล่าวว่า :

“สิ่งที่หะลาล(อนุมัติ)ชัดเจนและสิ่งที่หะร็อม(ห้าม)นั้นก็ชัดเจน ระหว่างสองสิ่งนี้มีสิ่งที่เคลือบแคลงอยู่ มนุษย์ส่วนมากจะไม่รู้ ผู้ใดปกป้องในความเคลือบแคลง เขาได้ทำให้ศาสนาของเขาและเกรียติยศของเขาบริสุทธิ์ และถ้าผู้ใดตกอยู่ในความเคลือบแคลงนั้น ก็เสมือนคนเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงสัตว์ใกล้กับเขตหวงห้าม อาจจะทำในสิ่งหวงห้ามได้ กษัตริย์ทุกคนมีเขตสงวนส่วนตนไม่ใช่หรือ เขตสงวนของอัลลอฮฺในแผ่นดินของพระองค์ คือ สิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไม่ใช่หรือ ในร่างกายมีก้อนเลือด ถ้าก้อนเลือดนี้ดี ร่างกายก็จะดีด้วย และถ้าก้อนเลือดนี้เสียหาย ร่างกายก็จะหายด้วยไม่ใช่หรือ? สิ่งนั้น คือ หัวใจไม่ใช่หรือ”

 

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 51(49) :

 

حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ حَمْزَةَ ، قَالَ : حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ سَعْدٍ ، عَنْ صَالِحٍ ، عَنِ ابْنِ شِهَابٍ ، عَنْ عُبَيْدِ اللَّهِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ ، أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ أَخْبَرَهُ ، قَالَ : أَخْبَرَنِي أَبُو سُفْيَانَ بْنُ حَرْبٍ ، أَنَّ هِرَقْلَ ، قَالَ لَهُ :

” سَأَلْتُكَ ، هَلْ يَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ ؟ فَزَعَمْتَ أَنَّهُمْ يَزِيدُونَ ، وَكَذَلِكَ الْإِيمَانُ حَتَّى يَتِمَّ ، وَسَأَلْتُكَ ، هَلْ يَرْتَدُّ أَحَدٌ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ ؟ فَزَعَمْتَ أَنْ لَا ، وَكَذَلِكَ الْإِيمَانُ حِينَ تُخَالِطُ بَشَاشَتُهُ الْقُلُوبَ لَا يَسْخَطُهُ أَحَدٌ “ .

ความว่า :
            อิบรอฮีม อิบนุหัมซะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า อิบรอฮีม อิบนุซะอัด ได้บอกแก่เราว่า ศอลิหฺ ได้รายงานว่า จากชีฮาบ จากอุบัยดิลลาอฺ อิบนุอับดุลลอฮฺ ว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาซ ได้เล่าว่า : อะบูซุฟยาน อิบนุหัรฺบิน ได้กล่าว่า เฮราคลิอัส ได้กล่าวแก่เขาว่า :

“ฉันถามเจ้าว่า คนเข้ารับอิสลามมากขึ้นหรือลดลง? เจ้ากล่าวว่า พวกเขาเพิ่มจำนวนมากขึ้น นี้คือการศรัทธา(ที่แท้จริงจะเพิ่มมากขึ้น)จนสมบูรณ์ และฉันถามเจ้าว่า มีคนหันหลัง ทรยศต่อศาสนาของเขาหลังจากได้เข้ารับถือหรือไม่ เจ้ากล่าวว่า ไม่มี และเช่นนี้แหละการศรัทธาที่แท้จริง เมื่อมันเข้าไปคลุกอยู่ในจิตแล้ว จะไม่มีผู้ใดทรยศเลย”

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 50(48) : เรื่อง ญิบรีลถามนบี(ศ็อลฯ)เกี่ยวกับอีมาน อิสลาม อิหฺซานและสัญญานวันกิยามะฮฺ

 

            ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า ญิบรีลได้มาหาพวกเจ้าเพื่อสอนศาสนาของพวกเจ้าแก่พวกเจ้า และท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ยืนยันทั้งหมดนี้เป็นศาสนา และท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ชี้แจงแก่ตัวแทนอัลดุลก็อยซ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา และอัลลอฮฺได้ตรัสว่า

وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الْإِسْلَامِ دِينًا فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ

ความว่า : 
            และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด (อาลาอิมรอน 3:85)

หะดีษที่ 50(48)

 حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ ، قَالَ : حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ ، أَخْبَرَنَا أَبُو حَيَّانَ التَّيْمِيُّ ، عَنْ أَبِي زُرْعَةَ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، قَالَ :

كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَارِزًا يَوْمًا لِلنَّاسِ ، فَأَتَاهُ جِبْرِيلُ ، فَقَالَ : مَا الْإِيمَانُ ؟ قَالَ : ” الْإِيمَانُ أَنْ تُؤْمِنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَبِلِقَائِهِ وَرُسُلِهِ وَتُؤْمِنَ بِالْبَعْثِ ، قَالَ : مَا الْإِسْلَامُ ؟ قَالَ : الْإِسْلَامُ أَنْ تَعْبُدَ اللَّهَ وَلَا تُشْرِكَ بِهِ شَيْئًا ، وَتُقِيمَ الصَّلَاةَ ، وَتُؤَدِّيَ الزَّكَاةَ الْمَفْرُوضَةَ ، وَتَصُومَ رَمَضَانَ ، قَالَ : مَا الْإِحْسَانُ ؟ قَالَ : أَنْ تَعْبُدَ اللَّهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ ، قَالَ : مَتَى السَّاعَةُ ؟ قَالَ : مَا الْمَسْئُولُ عَنْهَا بِأَعْلَمَ مِنَ السَّائِلِ ، وَسَأُخْبِرُكَ عَنْ أَشْرَاطِهَا إِذَا وَلَدَتِ الْأَمَةُ رَبَّهَا ، وَإِذَا تَطَاوَلَ رُعَاةُ الْإِبِلِ الْبُهْمُ فِي الْبُنْيَانِ فِي خَمْسٍ لَا يَعْلَمُهُنَّ إِلَّا اللَّهُ ، ثُمَّ تَلَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِنَّ اللَّهَ عِنْدَهُ عِلْمُ السَّاعَةِ (سورة لقمان آية 34) ، ثُمَّ أَدْبَرَ ، فَقَالَ : رُدُّوهُ ، فَلَمْ يَرَوْا شَيْئًا ، فَقَالَ : هَذَا جِبْرِيلُ ، جَاءَ يُعَلِّمُ النَّاسَ دِينَهُمْ ” ،

قَالَ أَبُو عَبْد اللَّهِ : جَعَلَ ذَلِك كُلَّهُ مِنَ الْإِيمَانِ .

ความว่า :
            มุซัดดัด ได้บอกแก่เราว่า อิสมาอีล อิบนุอิบรอฮีม ได้บอกแก่เราว่า อะบูหัยยาน อัตตัยมีย์ ได้บอกแก่เราว่า อะบูซุรอะฮฺ ได้รายงานว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้กล่าวว่า :

วันหนึ่งท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้นั่งท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ ญิบรีลก็ได้มาหาท่าน แล้วกล่าวว่า อีมานคืออะไร” ท่านตอบว่า “อีมาน คือ การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามะลาอีกะฮฺ ต่อการได้พบพระองค์ ต่อศาสนาทูตของพระองค์และศรัทธาการฟื้นคืนชีพ” เขากล่าวว่า “อะไร คือ อิสลาม” ท่านตอบว่า “อิสลาม คือ เจ้าภักดี(อิบาดะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺ ไม่ตั้งภาคีใดๆกับพระองค์ ดำรงละหมาด จ่ายซะกาตที่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ และถือศีลอดในเดือนรอมฎอน” เขากล่าวอีกว่า “อะไร คือ อิหฺซาน” ท่านตอบว่า “เจ้าภักดีต่ออัลลอฮฺเหมือนกับว่าเจ้าเห็นพระองค์  และถ้าเจ้าไม่เห็นพระองค์พระองค์ก็จะเห็นเจ้า” เขาถามว่า “เมื่อไรจะถึงเวลาวันสิ้นโลก” ท่านตอบว่า “คนที่ถามในเรื่องนี้รู้ดีกว่าคนที่ถูกถาม และฉันจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเงื่อนไขของการเกิดวันสิ้นโลก ถ้าข้าทาสได้คลอดเจ้านายของเขา คนเลี้ยงอูฐดำจะแข่งขันสร้างอาคาร ในอีก 5 อย่างไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลลออฺ” แล้วท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็ได้อ่านอายะฮฺอัลกุรอาน

إِنَّ اللَّهَ عِندَهُ عِلْمُ السَّاعَةِ
(แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ความรู้แห่งวันอวสานมีอยู่ ณ ที่พระองค์ )(ลุกมาน  :34)

            จากนั้นเขาก็หันหลังไป ท่านนบีก็บอกให้เศาะหาบะฮฺว่า “เรียกเขามา” บรรดาเศาะหาบะฮฺมองไม่เห็นอะไรเลย(เขาหายไปแล้ว)” ท่านนบีกล่าวว่า “นี้คือญิบรีล เขามาเพื่อสอนศาสนาแก่ประชาชนเรื่องศาสนาของพวกเขา”

อะบูอับดุลลอฮฺ กล่าวว่า “ท่านนบีถือทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา(อีมาน)”

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 49(47) :

 asrar_lila_alkdr_oumfatihHa


أَخْبَرَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ ، حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ بْنُ جَعْفَرٍ ، عَنْ حُمَيْدٍ ، عَنْ أَنَسُ ، قَالَ : أَخْبَرَنِي عُبَادَةُ بْنُ الصَّامِتِ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَرَجَ يُخْبِرُ بِلَيْلَةِ الْقَدْرِ ، فَتَلَاحَى رَجُلَانِ مِنَ الْمُسْلِمِينَ ، فَقَالَ :

” إِنِّي خَرَجْتُ لِأُخْبِرَكُمْ بِلَيْلَةِ الْقَدْرِ ، وَإِنَّهُ تَلَاحَى فُلَانٌ وَفُلَانٌ ، فَرُفِعَتْ وَعَسَى أَنْ يَكُونَ خَيْرًا لَكُمُ ، الْتَمِسُوهَا فِي السَّبْعِ وَالتِّسْعِ وَالْخَمْسِ ” .

ความว่า : กุไตบะฮฺ อิบนุซะอีด ได้บอกแก่เราว่า อิสมาอีล อิบนุ ยะอฺฟัรฺ ได้บอกแก่เราว่า รายงานจาก ฮะไมด์ว่า อะนัซได้กล่าวว่า อุบาดะฮฺ อิบนุศอมิต ได้บอกแก่ฉันว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้ออกมาบอกเกี่ยวกับในคืนลัยละตุลเกาะดัรฺ แล้วมีมุสลิมสองคนกำลังโต้เถียงอยู่ ท่านก็กล่าวว่า

“ฉันได้ออกมาเพื่อบอกแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับคืนลัยลาตุลเกาะดัรฺ พบว่าชายคนนี้โต้เถียงกับชายคนนี้ จนคืนลัยลาตุก็อดัรฺนั้นถูกยกขึ้นไป หวังว่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเจ้า พวกเจ้าจงสัมผัสมันในวันที่  7, 9 และ 5”

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 48(46) : เรื่อง ผู้ศรัทธากลัวการงานของเขาจะลดลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

            อิบรอฮีม อัตตัยมีย์ ฉันไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการงานของฉัน นอกจากฉันกลัวว่าฉันจะเป็นคนพูดเท็จ อิบนุ อะบีมุไลกะฮฺ ได้กล่าวว่า ฉันพบว่ามีเศาะหาบะฮฺนบี(ศ็อลฯ) 30 คน ทุกคนจะกลัวตัวเองว่าจะเป็นคนกลับกลอก  และไม่มีใครเลยที่จะบอกว่าตัวเองศรัทธาเหมือนอย่างความศรัทธาของมะลาอีกะฮฺญิบรีลและมีกาอีล อัลหะซันได้รายงานว่า ไม่มีใครเกรงกลัวมันนอกจากผู้ศรัทธาและไม่มีใครไว้วางใจมันนอกจากคนกลับกลอก(มุนาฟิก) สิ่งที่จะเตือนความดื้อรั้นการเป็นคนกลับกลอก(นิฟาก)และการทรยศนั้น ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วนอกจากการสำนึกตัวและการขอลุโทษ(เตาบะฮฺ) ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ

وَلَمْ يُصِرُّوا عَلَى مَا فَعَلُوا وَهُمْ يَعْلَمُونَ

ความว่า : และพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่ง ที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่ (ซูเราะฮฺ อาลาอิมรอน 3:135)

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ عَرْعَرَةَ ، قَالَ : حَدَّثَنَا شُعْبَةُ ، عَنْ زُبَيْدٍ ، قَالَ : سَأَلْتُ أَبَا وَائِلٍ عَنِ الْمُرْجِئَةِ ، فَقَالَ ، حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ ، أَنّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ :

” سِبَابُ الْمُسْلِمِ فُسُوقٌ ، وَقِتَالُهُ كُفْرٌ ” .

ความว่า :
            มุหัมมัด อิบนุอัรฺอะเราะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ชุอฺบะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ซุไบดฺได้รายงานว่า ฉันได้ถามอะบู วาอิล จากมุรญิอะฮฺ เขาได้กล่าวว่า อับดุลลอฮฺได้บอกแก่ฉันว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“การด่าทอมุสลิมเป็นบาป(ฟาซิก) และการฆ่ามุสลิมจะตกเป็นผู้ปฎิเสธศาสนา(กุฟุร)”

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 47(45) : เรื่อง เดินติดตามศพเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา

 


Inilah Keutamaan Mengantar Mayat Ke Kuburan


حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَلِيٍّ الْمَنْجُوفِيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا رَوْحٌ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عَوْفٌ ، عَنْ الْحَسَنِ ، وَمُحَمَّدٍ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ :

 مَنِ اتَّبَعَ جَنَازَةَ مُسْلِمٍ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا وَكَانَ مَعَهُ حَتَّى يُصَلَّى عَلَيْهَا وَيَفْرُغَ مِنْ دَفْنِهَا ، فَإِنَّه يَرْجِعُ مِنَ الْأَجْرِ بِقِيرَاطَيْنِ كُلُّ قِيرَاطٍ مِثْلُ أُحُدٍ ، وَمَنْ صَلَّى عَلَيْهَا ثُمَّ رَجَعَ قَبْلَ أَنْ تُدْفَنَ ، فَإِنَّهُ يَرْجِعُ بِقِيرَاطٍ ” ،

تَابَعَهُ عُثْمَانُ الْمُؤَذِّنُ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عَوْفٌ ، عَنْ مُحَمَّدٍ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَحْوَهُ .

ความว่า : 
            อะหฺมัด อิบนุอับดุลลอฮฺ อิบนุอะลีย์ อัลมันญูกีย์ ได้บอกแก่เเราว่า เราหฺ ได้บอกแก่เราว่า เอาฟฺ ได้บอกแก่เราว่า อัลหะซันและมุหัมมัด ได้รายงาน อะบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้รายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“ผู้ใดเดินติดตามศพมุสลิมด้วยความศรัทธาและหวังผลบุญ เขาอยู่กับศพนั้นจนละหมาดศพและอยู่จนเสร็จสิ้นการฝังศพ เขาจะกลับไปพร้อมกับการตอบแทนสองส่วน ทุกส่วนจะเท่ากับเทือกเขาอุหุด และถ้าผู้ใดละหมาดศพนั้นเสร็จแล้วก็กลับก่อนที่จะฝังศพ เขาจะได้หนึ่งส่วน”

เช่นกัน หะดีษนี้ อุษมาน อัลมุอัซซิน ได้กล่าวว่า  เอาฟฺได้บอกแก่เราว่า มุหัมมัดได้รายงานว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวเช่นนี้

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 46(44) : ซะกาตเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม

 อัลลอฮฺตรัสว่า

وَمَآ أُمِرُوٓاْ إِلَّا لِيَعۡبُدُواْ ٱللَّهَ مُخۡلِصِينَ لَهُ ٱلدِّينَ حُنَفَآءَ وَيُقِيمُواْ ٱلصَّلَوٰةَ وَيُؤۡتُواْ ٱلزَّكَوٰةَۚ وَذَٰلِكَ دِينُ ٱلۡقَيِّمَةِ

(และพวกเขามิได้ถูกบัญชาให้กระทำอื่นใดนอกจากเพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่อพระองค์ เป็นผู้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงและดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต และนั่นแหละคือศาสนาอันเที่ยงธรรม) (อัลบัยยินะฮฺ 98:5)

حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ قَالَ حَدَّثَنِي مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ عَنْ عَمِّهِ أَبِي سُهَيْلِ بْنِ مَالِكٍ عَنْ أَبِيهِ أَنَّهُ سَمِعَ طَلْحَةَ بْنَ عُبَيْدِ اللَّهِ يَقُولُ 

جَاءَ رَجُلٌ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ أَهْلِ نَجْدٍ ثَائِرَ الرَّأْسِ يُسْمَعُ دَوِيُّ صَوْتِهِ وَلَا يُفْقَهُ مَا يَقُولُ حَتَّى دَنَا فَإِذَا هُوَ يَسْأَلُ عَنْ الْإِسْلَامِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَمْسُ صَلَوَاتٍ فِي الْيَوْمِ وَاللَّيْلَةِ فَقَالَ هَلْ عَلَيَّ غَيْرُهَا قَالَ لَا إِلَّا أَنْ تَطَوَّعَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَصِيَامُ رَمَضَانَ قَالَ هَلْ عَلَيَّ غَيْرُهُ قَالَ لَا إِلَّا أَنْ تَطَوَّعَ قَالَ وَذَكَرَ لَهُ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الزَّكَاةَ قَالَ هَلْ عَلَيَّ غَيْرُهَا قَالَ لَا إِلَّا أَنْ تَطَوَّعَ قَالَ فَأَدْبَرَ الرَّجُلُ وَهُوَ يَقُولُ وَاللَّهِ لَا أَزِيدُ عَلَى هَذَا وَلَا أَنْقُصُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَفْلَحَ إِنْ صَدَقَ

ความว่า : 

อิสมาอีล ได้บอกแก่เราว่า มาลิก อิบนุอะนัสได้บอกแก่ฉันว่า น้าของฉันได้รายงานว่า อะบู ซุไฮล์ อิบนุมาลิก ได้รับรายงานจากพ่อของเขาว่า เขาได้ยิน ฏอลหะฮฺ อิบนุอุไลดิลลาฮฺ กล่าวว่า : 

 มีชายคนหนึ่งมาหาท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) เป็นชาวนัจดฺ ผมยุ่งเหยิง ได้ยินเสียงพูดคุยที่เบามาก ไม่เข้าใจที่เขาพูด จนเขาเข้ามาใกล้ จึงรู้ว่าเขาถามเกี่ยวกับอิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ก็ได้กล่าวว่า "ละหมาด 5 เวลาในหนึ่งวันกับหนึงคืน" เขาก็ถามต่อว่า "มีอะไรที่ฉันต้องทำนอกจากนั้นไหม" ท่านตอบว่า "ไม่มี นอกจากเจ้าอาสา(ที่จะทำ)"  ท่านเราะซูลุลอฮฺ(ศ็อลฯ)ก็ได้กล่าวอีกว่า "ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน" เขาถามต่อว่า "มีที่ฉันต้องทำนอกจากนั้นไหม" ท่านตอบว่า "ไม่มี นอกจากเจ้าอาสา" แล้วท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึง ซะกาต เขาก็ถามว่า มีอะไรนอกจากนั้นไหม ท่านก็ตอบว่า "ไม่มีนอกจากเจาอาสา" จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็หันหลัง แล้วเขาก็กล่าวว่า "ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ(วัลลอฮิ) ฉันจะไม่ทำเพิ่มจากสิ่นนั้นและจะไม่ลด" ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) "เขาจะประสบชัยชนะ ถ้าเขาพูดจริง"

 

 

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 45(43) :

 

حَدَّثَنَا الْحَسَنُ بْنُ الصَّبَّاحِ ، سَمِعَ جَعْفَرَ بْنَ عَوْنٍ ، حَدَّثَنَا أَبُو الْعُمَيْسِ ، أَخْبَرَنَا قَيْسُ بْنُ مُسْلِمٍ ، عَنْ طَارِقِ بْنِ شِهَابٍ ، عَنْ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ ،

” أَنَّ رَجُلًا مِنْ الْيَهُودِ ، قَالَ لَهُ :
يَا أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ ، آيَةٌ فِي كِتَابِكُمْ تَقْرَءُونَهَا لَوْ عَلَيْنَا مَعْشَرَ الْيَهُودِ نَزَلَتْ لَاتَّخَذْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ عِيدًا،
قَالَ : أَيُّ آيَةٍ ؟
قَالَ :
الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلامَ دِينًا (سورة المائدة آية 3 )،
قَالَ عُمَرُ :
قَدْ عَرَفْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ وَالْمَكَانَ الَّذِي نَزَلَتْ فِيهِ عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ قَائِمٌ بِعَرَفَةَ يَوْمَ جُمُعَةٍ.

ความว่า :
             หะซัน อิบนุศ็อบบาฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ญะอฺฟะรฺ อิบนุเอาน์ ได้ยินมาว่า อะบู อัลอุไมซ ได้บอกแก่เราว่า ก็ยซฺ อิบนุมุุสลิม ได้บอกแก่เราว่า ฏอริก อิบนุชีฮาบได้รายงาน จากอุมัรฺ อิบนุค็อฏฏอบ ว่า
            “ชายชนยิวคนหนึ่ได้ถามเขาว่า : นี้ อะมีรฺลมุอมินีน อายะฮฺในคัมภีร์ที่พวกเจ้าอยู่นั้น ถ้าเป็นพวกเราชนยิว ถ้าอายะฮฺนั้นได้ประทานลงมา เราก็จะทำให้วันนั้นเป็นวันตรุษ” เขาถามว่า “อายะฮฺอะไร?"
อุมัรฺ ตอบว่า :

الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلامَ دِينًا
(วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว )(อัลมาอิดะฮฺ 5:3)

อุมัรฺได้กล่าวอีกว่า
            “เรารู้ด้วยว่าเวลาและสถานที่ที่ประทานอายะฮฺนั้นแก่ท่านนบี(ศ็อลฯ) คืนตอนที่ท่านนบี ยืนอยู่ในวันศุกร์ที่อะรอฟะฮฺ”

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 44(42) : เรื่อง อีมามมีเพิ่มขึ้นและลดลง


        อัลลอฮฺตรัสว่า
وَزِدْنَاهُمْ هُدًى
(และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา)(อัลกะฮฺฟี 18:13)

وَيَزْدَادَ الَّذِينَ آمَنُوا إِيمَانًاۙ
(และบรรดาผู้ศรัทธาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธา )(อัลมุดัษษิรฺ 74:31)

الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ
(วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า)(อัลมาอิดะฮฺ 5:3)

        เมื่อเจ้าทิ้งบางอย่างที่ทำให้มันสมบูรณ์ก็จะไม่สมบูรณ์


حَدَّثَنَا مُسْلِمُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ ، قَالَ : حَدَّثَنَا هِشَامٌ ، قَالَ : حَدَّثَنَا قَتَادَةُ ، عَنْ أَنَسٍ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ : 

يَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ شَعِيرَةٍ مِنْ خَيْرٍ ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ بُرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ ذَرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ ” ،

 قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : قَالَ أَبَانُ : حَدَّثَنَا قَتَادَةُ ، حَدَّثَنَا أَنَسٌ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، مِنْ إِيمَانٍ مَكَانَ مِنْ خَيْرٍ .

ความว่า :
            มุสลิม อิบนุอิบรอฮีม ได้บอกแก่เราว่า ฮิชามได้บอกแก่เราว่า เกาะตาดะฮฺได้บอกแก่เราว่า อะนัซ ได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“คนที่ที่กล่าว ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)จะได้ออกจานรก ในใจของของมีความดีหนักเท่าเมล็ดข้าวบาร์เลย์ คนที่กล่าวว่าลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)จะได้ออกจานรก ในใจของของมีความดีหนักเท่าเมล็ดข้าวสาลี คนที่กล่าวว่าลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)จะได้ออกจานรก ในใจของของมีความดีหนักเท่าเม็ดอะตอม”

อะบู อับดุลลอฮฺกล่าวว่า อาบานได้กล่าวว่า เกาะตาดะฮฺได้บอกแก่เราว่า อะนัซได้บอกแก่เราว่า ท่านนบีกล่าว่า “มีความศรัทธา” แทนคำว่า “มีความดี

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 43(41) : เรื่อง ศาสนาที่ดีที่สุด ณ อัลลอฮฺ คือ การทำเป็นประจำ

 

 حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى ، حَدَّثَنَا يَحْيَى ، عَنْ هِشَامٍ ، قَالَ : أَخْبَرَنِي أَبِي ، عَنْ عَائِشَةَ ،

” أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ دَخَلَ عَلَيْهَا وَعِنْدَهَا امْرَأَةٌ ، قَالَ : مَنْ هَذِهِ ؟ قَالَتْ : فُلَانَةُ تَذْكُرُ مِنْ صَلَاتِهَا ، قَالَ : مَهْ عَلَيْكُمْ بِمَا تُطِيقُونَ ، فَوَاللَّهِ لَا يَمَلُّ اللَّهُ حَتَّى تَمَلُّوا ، وَكَانَ أَحَبَّ الدِّينِ إِلَيْهِ مَا دَامَ عَلَيْهِ صَاحِبُهُ ” .

ความว่า :
            มุหัมมัด อิบนุ อัลมุษันนา ได้บอกแก่เราว่า ยะหฺยาได้บอกแก่เราว่า ฮีชามได้รายงาน่า บิดาของฉันได้เล่าในฉันว่า อาอีชะฮฺไดด้รายงานว่า

        “ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้เข้ามาหานาง และนางได้อยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง
         ท่านกล่าวว่า “นี้ใคร?”
         อาอีชะฮฺตอบว่า “นางนั้น” แล้วอาอีชะฮฺก็ได้พูดถึงการละหมาดของนาง
        ท่านนบีกล่าวว่า
             “ พวกเจ้าจงละทิ้งสิ่งที่พวกเจ้าไม่สามารถทำได้  วัลลอฮิ(ฉันขอสาบานกับอัลลอฮฺ) อัลลอฮฺจะไม่เหนื่อย(ที่จะให้รางวัล)ที่ทำให้พวกเจ้าเหนื่อย แท้จริงนั้น ศาสนาที่อัลลอฮฺโปรดปราน คืน สิ่งที่เจ้าตัวปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ “

--------------------

ศาสนา(อัดดีน) ในที่นี้หมายถึง การงานศาสนา และศาสนาที่แท้จริง คืออิสลาม และอิสลามที่แท้จริงหมายถึงความศรัทธา(อีมาน) (ฟัตหุลบารีย์ ซะรฺหุเศาะหีหฺอัลบุคอรี : 125)


เศาะหีหุลบุคอรีย์ 42(40) : เรื่อง ความดีของคนที่เข้ารับนับถืออิสลาม

 

            มาลิกได้บอกแก่ฉันว่า ไซดฺ อิบนุอัซลัมว่า อะฏออฺ อิบนุยะซารฺ ได้เล่าว่า อะบูซะอัด อัลคุดรีย์ ได้บอกแก่เขาว่า เขาได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) กล่าวว่า

” إِذَا أَسْلَمَ الْعَبْدُ فَحَسُنَ إِسْلَامُهُ يُكَفِّرُ اللَّهُ عَنْهُ كُلَّ سَيِّئَةٍ كَانَ زَلَفَهَا ، وَكَانَ بَعْدَ ذَلِكَ الْقِصَاصُ الْحَسَنَةُ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا إِلَى سَبْعِ مِائَةِ ضِعْفٍ وَالسَّيِّئَةُ بِمِثْلِهَا ، إِلَّا أَنْ يَتَجَاوَزَ اللَّهُ عَنْهَا ”

            (เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้เข้ารับอิสลาม และทำตัวเขาเป็นคนที่นับถือศาสนาอิลามที่ดี อัลลอฮฺจะลบล้างทุกความผิดที่เขาได้กระทำมา และหลังจากนั้นเขาจะได้รับตอบแทนความดี 10 เท่า ถึง 70 เท่า ส่วนความชั่วนั้นจะตอบแทนเท่าที่ได้กระทำ เว้นแต่อัลลอฮฺได้มองข้ามในสิ่งนั้น)

หะดีษที่ 42(40)

 حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ مَنْصُورٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّزَّاقِ ، قَالَ : أَخْبَرَنَا مَعْمَرٌ ، عَنْ هَمَّام ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :

” إِذَا أَحْسَنَ أَحَدُكُمْ إِسْلَامَهُ ، فَكُلُّ حَسَنَةٍ يَعْمَلُهَا تُكْتَبُ لَهُ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا إِلَى سَبْعِ مِائَةِ ضِعْفٍ ، وَكُلُّ سَيِّئَةٍ يَعْمَلُهَا تُكْتَبُ لَهُ بِمِثْلِهَا ” .

ความว่า :

        อิสหาก อิบนุมันซูรฺ ได้บอกแก่เราว่า อับดุรฺรอซฺซาก ได้บอกแก่เราว่า มะอฺมะรฺ ได้บอกแก่เราว่า  ฮัมมามได้รายงานว่า รายงานจากอะบูฮุร็อยเราะฮฺว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“เมื่อคนใดคนหนึ่งของพวกเจ้า ได้กระทำดีกับอิสลามของเขา ทุกความดีที่เขาได้กระทำนั้น ถูกบันทึกแก่เขา 10 เท่าถึง 70 เท่าของความดีนั้น และทุกความชั่วที่เขาได้กระทำนั้น ถูกบันทึกแก่เขาเท่าที่เขาได้กระทำ”

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 40,41(39) : เรื่อง การละหมาดเป็นส่วนหนึ่งการศรัทธา

อัลลอฮฺตรัสว่า 

{ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ ۚ }
และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป)(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:143)

        หมายถึงการละหมาดของพวกเจ้าที่หันหน้าไปทางบัยตุลมักดิซ

 حَدَّثَنَا عَمْرُو بْنُ خَالِدٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا زُهَيْرٌ ، قَالَ : حَدَّثَنَا أَبُو إِسْحَاقَ ، عَنْ الْبَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ ،

” أَنّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ أَوَّلَ مَا قَدِمَ الْمَدِينَةَ نَزَلَ عَلَى أَجْدَادِهِ ، أَوْ قَالَ : أَخْوَالِهِ مِنْ الْأَنْصَارِ ، وَأَنَّهُ صَلَّى قِبَلَ بَيْتِ الْمَقْدِسِ سِتَّةَ عَشَرَ شَهْرًا أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا ، وَكَانَ يُعْجِبُهُ أَنْ تَكُونَ قِبْلَتُهُ قِبَلَ الْبَيْتِ ، وَأَنَّهُ صَلَّى أَوَّلَ صَلَاةٍ صَلَّاهَا صَلَاةَ الْعَصْرِ وَصَلَّى مَعَهُ قَوْمٌ ، فَخَرَجَ رَجُلٌ مِمَّنْ صَلَّى مَعَهُ فَمَرَّ عَلَى أَهْلِ مَسْجِدٍ وَهُمْ رَاكِعُونَ ، فَقَالَ : أَشْهَدُ بِاللَّهِ لَقَدْ صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قِبَلَ مَكَّةَ فَدَارُوا كَمَا هُمْ قِبَلَ الْبَيْتِ ، وَكَانَتْ الْيَهُودُ قَدْ أَعْجَبَهُمْ إِذْ كَانَ يُصَلِّي قِبَلَ بَيْتِ الْمَقْدِسِ ، وَأَهْلُ الْكِتَابِ ، فَلَمَّا وَلَّى وَجْهَهُ قِبَلَ الْبَيْتِ أَنْكَرُوا ذَلِكَ “

قَالَ زُهَيْرٌ حَدَّثَنَا أَبُو إِسْحَاقَ عَنْ الْبَرَاءِ فِي حَدِيثِهِ هَذَا أَنَّهُ مَاتَ عَلَى الْقِبْلَةِ قَبْلَ أَنْ تُحَوَّلَ رِجَالٌ وَقُتِلُوا فَلَمْ نَدْرِ مَا نَقُولُ فِيهِمْ فَأَنْزَلَ اللَّهُ تَعَالَى    وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ


ความว่า :
            อัมรู อิบนุคอลิดได้บอกแก่เราว่า ซุไฮรฺ ได้บอกแก่เราว่า อะบูอีซหาก ได้บอกแก่เราว่า อัลบะรออฺ อิบนุอาซิบได้รายงานว่า

“สิ่งแรกท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้มาถึงมะดีนะฮฺ ท่านได้พักที่บ้านของปูของเขา(พ่อของอาซิบ) หรือลุงของเขา เป็นกลุ่มชนอันศอรฺ ท่านนบี(ศ็อลฯ)ละหมาดหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิซ(เยรูซาเล็ม) 16 เดือน หรือ 17 เดือน ท่านหวังที่จะละหมาดโดยหันหน้าไปทางบัยตุลลอฮฺ(มักกะฮฺ) และท่านนบี(ศ็อลฯ)ละหมาดหันหน้าไปทางบัยตุลลอฮฺครั้งแรก เมื่อท่านละหมาดอัศริและมีกลุ่มคนละหมาดพร้อมๆกับท่าน ชายคนหนึ่งที่ได้ละหมาดร่วมกับท่านได้ออกไปแล้วผ่านมัสยิดแห่งหนึ่ง ผู้คนในนั้นกำลังก้มรูกูอฺอยู่ ชายคนนั้นได้กล่าวว่า “ฉันขอปฎิญานกับอัลลอฮฺ ฉันได้ละหมาดกับท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้หันหน้าไปทางมักกะฮฺ พวกเขาเหล่านั้นก็ได้หันหน้าไปยังมักกะฮฺ(ทันที ในสภาพที่กำลังก้มรูกูอฺอยู่) พวกคนยิวก็แปลกใจกับพวกนั้น เดิมทีพวกเขาละหมาดหันหน้าไปยังบัยตุลมักดิซ และชาวคัมภีร์(ยิวและนะซอรอ)ก็เช่นกัน เมื่อเขา(มุสลิม)หันหน้าไปทางบัยตุลลอฮฺพวกเขาจึงไม่พอใจ”

หะดีษที่ 41(39)  

          ซุไฮรฺ ได้กล่าวว่า อะบูอิซหากได้รายงานว่า รายงานจากอัลบัรฺรออฺในหะดีษที่เขารายงานว่า บางคนเสียชีวิตในระหว่างที่ยังละหมาดหันไปทางกิบลัตเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง และบางคนถูกฆ่าก่อน ไม่รู้ว่าจะพูดในเรื่องนี้อย่างไร อัลลอฮฺก็ได้ประทานอายะฮฺนี้ลงมา

  { وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ ۚ }

และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป)(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:143)

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 36(35) : เรื่อง การต่อสู้เพื่ออิสลาม(ญิฮาด)เป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา


حَدَّثَنَا حَرَمِيُّ بْنُ حَفْصٍ قَالَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَاحِدِ قَالَ حَدَّثَنَا عُمَارَةُ قَالَ حَدَّثَنَا أَبُو زُرْعَةَ بْنُ عَمْرِو بْنِ جَرِيرٍ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ 

انْتَدَبَ اللَّهُ لِمَنْ خَرَجَ فِي سَبِيلِهِ لَا يُخْرِجُهُ إِلَّا إِيمَانٌ بِي وَتَصْدِيقٌ بِرُسُلِي أَنْ أُرْجِعَهُ بِمَا نَالَ مِنْ أَجْرٍ أَوْ غَنِيمَةٍ أَوْ أُدْخِلَهُ الْجَنَّةَ وَلَوْلَا أَنْ أَشُقَّ عَلَى أُمَّتِي مَا قَعَدْتُ خَلْفَ سَرِيَّةٍ وَلَوَدِدْتُ أَنِّي أُقْتَلُ فِي سَبِيلِ اللَّهِ ثُمَّ أُحْيَا ثُمَّ أُقْتَلُ ثُمَّ أُحْيَا ثُمَّ أُقْتَلُ


ความว่า : 

หะรอมีย์ อิบนุหัฟศิน ได้บอกแก่เราว่า อับดุลวาหิด ได้กล่าวว่า อุมาเราะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า อะบูซุรอะฮฺ อิบนุอัมริน อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า : ฉันได้ยิน อะบูฮุร็อยเราะฮฺ รายงานว่าท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า 

 อัลลอฮฺทรงรับผิดชอบบุคคลที่ออกไปต่อสู้ในแนวทางของพระองค์ เขาผู้ไม่ได้ออกไปเพื่ออื่นใดนอกจากด้วยความศรัทธา(อีมาน)ต่อฉัน และเชื่อในศาสนาทูตของฉัน ด้วยให้เขากลับมาด้วยผลตอบแทนหรือทรัพย์สงครามหรือให้เขาได้เข้าสวรรค์ และหากไม่เป็นการลำบากแก่ประชาชาติของฉัน ฉันไม่นั่งข้างหลังกองกำลังซะรียะฮฺ ฉันต้องการที่จะให้ถูกฆ่าในแนวทางของอัลลอฮฺ แล้วฉันถูกทำให้ฟื้นขึ้นอีก แล้วถูกฆ่า แล้วฟื้น แล้วถูกฆ่า        

 

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 39(38) : เรื่อง ศาสนาเป็นเรื่องง่าย

        คำกล่าวของท่านนบี(ศ็อลฯ) 

أَحَبُّ الدِّينِ إِلَى اللَّهِ الْحَنِيفِيَّةُ السَّمْحَةُ

 “ศาสนาที่อัลลอฮฺโปรดปรานยิ่งคือศาสนาอิสลามที่ง่ายดาย

حَدَّثَنَا عَبْدُ السَّلَامِ بْنُ مُطَهَّرٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ عَلِيٍّ ، عَنْ مَعْنِ بْنِ مُحَمَّدٍ الْغِفَارِيِّ ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ أَبِي سَعِيدٍ الْمَقْبُرِيِّ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ :

” إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ ، وَلَنْ يُشَادَّ الدِّينَ أَحَدٌ إِلَّا غَلَبَهُ ، فَسَدِّدُوا وَقَارِبُوا وَأَبْشِرُوا وَاسْتَعِينُوا بِالْغَدْوَةِ وَالرَّوْحَةِ وَشَيْءٍ مِنَ الدُّلْجَةِ ” .

ความว่า :
            อับดุซซะลาม อิบนุมุเฏาะฮัรฺ ได้บอกแก่เราว่า อุมัรฺ อิบนุอาลี ได้บอกแก่เราว่า มะอัน อิบนุมุหัมมัด อัลฆีฟารี ได้รายงานว่า รายงานจากซะอีด อิบนุอะบูซะอีด อัลมักบุรีย์ จากอะบูฮุร็อยเราะฮฺว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“ศาสนาเป็นสิ่งง่าย ไม่มีผู้ใดเคร่งเครียดกับศาสนาได้ นอกจากคนๆนั้นจะพ่ายแพ้ตัวเขาเอง ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้มันง่ายดาย จงเข้าหาความจริง จงให้ข่าวดี จงขอความช่วยเหลือจากการออกไปตั้งแต่เช้า(ฆูดวะฮฺ) เย็น(เราหะฮฺ)และสิ่งหนี่งในการออกเดินทางในเวลากลางคืน(ดุลญะฮฺ)”


เศาะหีหุลบุคอรีย์ 38(37) : เรื่อง ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนหวังในผลบุญเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา

 

صيام

 حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ سَلَامٍ ، قَالَ : أَخْبَرَنَا مُحَمَّدُ بْنُ فُضَيْلٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ ، عَنْ أَبِي سَلَمَةَ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :

” مَنْ صَامَ رَمَضَانَ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ “ .

ความว่า :
            มุหัมมัด อิบนุซะลาม ได้บอกแก่เราว่า มุหัมมัด อิบนุฟุไฎล์ ได้เล่าแก่เราว่า ยะหฺยาอิบนซะอีด ได้บอกแก่เราว่า รายงานอะบูซะละมะฮฺว่า จากอะบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

“ผู้ใดถือศีลอดในเดือนรอมฎอนด้วยความศรัทธาและหวังผลบุญ เขาจะได้รับอภัยโทษจากบาปที่ผ่านมา”