วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

ทำไมต้องเป็นการศึกษาอิสลาม

 สหรัฐอเมริการทุ่มทุนมหาศาลให้ประชาชนเลิกดื่มเหล้าแต่ในที่สุดต้องยกเลิกกฎหมายห้ามดื่มเหล้า แต่อิสลามสามารถทำให้คนเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด .. เพราะด้วยการศึกษาแบบอิสลาม..ถึงทำได้ !!!

     

        เมื่อครั้งมีการประชุมสาขาการสอนอิสลามศึกษา ก็มีการพูดคุยเรื่องวิชาที่เปิดสอนในภาคฤดูร้อนนี้ วิชาหนึ่งเป็นวิชาที่น่าสนใจมาก คือ วิชาการศึกษาอิสลาม หรือ Islamic Education ภาษาอาหรับเรียกว่า التربية الإسلامية เพราะเป็นวิชาที่ผมสนใจศึกษาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.ตรี แม้จะได้จบด้านการศึกษาโดยตรงแต่จบคณะศึกษาศาสตร์ และเป็นสถาบันที่อยู่ในโลกมุสลิมที่เคร่งศาสนา ดังนั้นวิชาที่นี้เป็นวิชาที่เขาบังคับในนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์เรียนทุกคน และผมก็ได้ลงอีกหลายวิชาเป็นวิชาเลือก

        อาจารย์บางท่านพูดว่า วิชานี้ไม่มีอะไรมาก เป็นการสอนประวัติการศึกษาในอิสลาม แต่มีอาจารย์บางท่านบอกว่า วิชานี้น่าจะบังคับในนักศึกษาหลักสูตรการสอนนี้เรียนทุกคน ผมกลับมองไม่เฉพาะแค่นั้น วิชานี้เราในฐานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาอิสลามแห่งเดียวที่มีอยู่ในประเทศไทย และเป็นหนึ่งอีกไม่กี่แห่งของโลก เราควรศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจทำวิจัย จนได้ความรู้ใหม่ที่สามารถเผยแพร่แก่บุคคลทั่วๆได้รับรู้ และได้ประโยชน์ ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม และอาจเป็นแนวทางหนึ่งที่จะได้นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในบ้านเมืองแทนที่จะยึดเอาแนวของตะวันตกทุกอย่าง .... (ระวังจะตกรูแย้)

        ด้วยความตระหนักในจุดนี้ (กันลืม)ผมก็ได้กลับไปพลิกดูบทความเก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เจอหลายเรื่องเหมือนกัน(บางเรื่องยังเป็นฉบับร่างอยู่) และคิดว่าน่าจะนำมารวบรวมและเผยแพร่ ในบุคคลทั่วไปทราบ จึงเป็นที่มาของบันทึกนี้ .. และคิดว่า บันทึกอาจทำประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในวิชานี้ .....

การศึกษาอิสลาม Islamic Education التربية الإسلامية 

        การศึกษาอิสลามหรือการศึกษาในอิสลาม มีความเกี่ยวข้องกับมุสลิมทุกคน ไม่ได้เจาะจงเฉพาะครูหรือผู้ที่จะเป็นครูเท่านั้นที่จะต้องเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษา ครูหรืออาจารย์อาจเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้กระบวนการนำสารอิสลามสู่ผู้เรียน ส่วนบุคคลอื่นนั้นเกี่ยวข้องในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ที่รับสารนั้น 

        ทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ และทุกยุคทุกสมัย มนุษย์จะต้องมีแนวการศึกษาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง อาจจะคล้ายคลึงกันบ้างระหว่างชนชาติ หรืออาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นขึ้นอยู่กับปราชญาการดำเนินชิวิตของชนนั้นๆ 

        เป้าหมายหลักของการศึกษาคือ การสร้างคนในตอบสนองความต้องการของชาติหรือผู้ปกครอง  

    การศึกษาของคนในยุคกรีกโรมัน คือ การสร้างคนให้มีพละกำลังที่แข็งแรง มีความสามารถในการต่อสู้และใช้อาวุธ ส่วนการศึกษาอิสลาม คือ การเน้นในมนุษย์ดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ถูกต้อง ปลอดภัย ตามที่ได้กำหนดมา คือ มีมารยาทในการอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำร้ายกันและกัน ไม่ทำลายล้างธรรมชาติที่ต้องอนุรักษ์ โดยการหมั่นทำศาสนกิจ ไม่เคยลืมผู้สร้าง นึกถึงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา 

        ก่อนจะพูดถึงการศึกษาอิสลาม ปรัชญา วิธีการ ขั้นตอน เป็นอย่างไรบ้างนั้น เราจำเป็นต้องย้อนอดีตตั้งแต่พระเจ้าได้ประทานศาสนาอิสลามมาแก่มวลมนุษย์ 

        อิสลาม เราเรียกว่า ศาสนา และศาสนาในที่คือ วิถีชีวิต หมายถึงวิถีชีวิตที่ใช้อัลกุรอานเป็นธรรมนูญ และยึดแนวทางนบีมุฮำมัดเป็นแบบอย่างในทุกด้าน นั่นคือ ศาสนาอิสลาม ดังนั้นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคน จะต้องยึดอัลกุรอานและแนวทางตามที่นบีได้สอนไว้เป็นหลัก จะเบี่ยงเบน ไขว้เขว ลดหย่อน หรือเสริมแต่งไม่ได้                 

        ชาวอาหรับก่อนที่อิสลามจะถูกนำมาเผยแพร่ พวกเขาอยู่ในโลกมืด พวกเขาอาจจะเจริญก้าวหน้าทางด้านการค้า แต่จิตใจของพวกเขา สังคมของพวกเขา เน่าเฟะ ดังที่อัลลอฮฺได้เปรียบเปรยในอัลกุรอานว่า

  أَوْ كَظُلُمَاتٍ فِي بَحْرٍ لُّجِّيٍّ يَغْشَاهُ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ سَحَابٌ ظُلُمَاتٌ بَعْضُهَا فَوْقَ بَعْضٍ
 إِذَا أَخْرَجَ يَدَهُ لَمْ يَكَدْ يَرَاهَا وَمَن لَّمْ يَجْعَلِ اللَّهُ لَهُ نُوراً فَمَا لَهُ مِن نُّورٍ [النور : 40] 

            ความว่า หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขาและเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมาเขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย  (อัน- นูร 24/40)

                ชาวอาหรับก็เคยมีศาสนา และได้นับถือศาสนาตามบรรพบุรุษ สืบทอดตั้งแต่นบี อิบรอฮีม แต่ด้วยเวลาที่ยาวนาน ด้วยความเป็นอัตตาของมนุษย์ สนใจแต่ความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ทำให้ศาสนาที่นำมาโดยนบีอิบรอฮีม ถูกบิดเบือนเสริมแต่งรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนหลงเหลือกิจกรรมหลักๆเท่านั้นที่พอจะรับรู้ว่าพวกเขาเคยนับถือศาสนามาก่อน เช่น การทำฮัจญ์ แต่การทำฮัจญ์ของพวกเขาต้องเปลือยกาย ระหว่างเดินรอบ ๆ กะอฺบะฮฺ และพวกเขาจะเปลื่อยกายทั้งชายและหญิง 

                ความเน่าเฟะของสังคมของพวกเขาที่พอจะยกเป็นตัวอย่างในที่นี้ เช่น

  • เสริมแต่งศาสนา(ที่เรียกว่า บิดอะห์) เช่น ปั้นรูปปั้นแล้วบูชากันเอง วางไว้รอบกะอฺบะห์ เป็นร้อย ๆ รูป โดยใช้รูปปั้นเป็นสัญลักษณ์แทนพระเจ้า โดยเชื่อว่ารูปปั้นนั้นมีอำนาจให้และไม่ให้อะไรแก่ใครก็ได้
  • ฝังลูกสาวเป็นๆ โดยพวกเขามีความเชื่อว่า การมีลูกสาวนั้นอัปโชค ที่เป็นที่น่าอับอายขายหน้าแก่เพื่อนฟูงในสังคม ครั้งหนึ่งท่าน อุมัร อิบนุ คอฏฏ็อบ(รอฎิฯ) อยู่ ๆ ท่านก็ยิ้มหัวเราะและอยู่ ๆ ท่านก็ร้องไห้ สหายของท่านถามว่า ท่านยิ้มหัวเราะทำไม ท่านตอบว่า ที่หัวเราะเพราะท่านเคยปั้นรูปไว้บูชาด้วยลูกอินทผาลัม แต่พอหน้าแล้งไม่มีอะไรกิน ท่านก็กินพระเจ้าของท่าน และที่ท่านร้องไห้ เพราะท่านเคยฝังลูกสาวทั้งเป็น
  • มีการฆ่าฟันกันระหว่างเผ่าพันธุ์ ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นระหว่างหมู่บ้าน เพียงแค่สาเหตุวัวหรือสัตว์เลี้ยงของแต่ละเผ่ากินหญ้าข้ามเผ่ากัน (ผมอ่านเรื่องนี้ทีไรนึกถึงวัยรุ่นบ้านเรา โดยเฉพาะเด็กอาชีวะ เพียงแค่มองหน้า หรือมีเครื่องหมายที่ต่างกันก็แทงกัน ยิงกันตาย)
  • ผิดลูกผิดเมีย โสเพณีท้วมเมือง หญิงหนึ่งคนหลายสามี มีเวลาคลอดลูกออกมา หญิงคนนั้นชอบชายคนไหนก็บอกว่า เด็กคนนี้เป็นลูกชายคนนั้น (โชคดีในสมัยนี้วิทยาการได้ก้าวหน้าไปไกลสามารถตรวจสอบ ดีเอนเอ ได้ หญิงสาวที่มั่วหลายชายจะไปทึกทักว่าชายที่รวยๆ เป็นพ่อของเด็กในท้องไม่ได้ อย่างกรณีของนักร้องค่ายดังคนหนึ่ง)
  • ดื่มเหล้าต่างน้ำ และการดื่มเหล้านี้มีมาจนถึงสมัยที่นบีได้อพยพไปมะดีนะห์แล้ว และในที่สุดเพราะศาสนาพวกเขาจึงเทเหล้าทิ้ง ถนนทุกสายในนครมะดีนะห์เจิงหนองไปด้วยเหล้า
  • การพนัน และอื่น ๆ อีกมาก ซีงบางอย่างที่ศึกษาพฤติกรรมเละเทะของคนอาหรับในยุคมืด หรือ ยุคญาฮีลียะห์(หมายถึงยุคไร้การศึกษา แต่ในทางศาสนาแล้วหมายถึงยุคนอกศาสนา) คล้ายๆ กับพฤติกรรมของคนไทยในยุคสมัยปัจจุบัน

        แม้สังคมอาหรับในยุคนั้นจะเน่าเฟะเพียงใด แต่ด้วยอิสลาม การศึกษาที่นำโดยนบีมุฮำหมัด สามารถจะเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่านั้นให้เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษา(อิสลาม) เป็นผู้นำ และพวกเขาก็ได้แผ่อิสลามสู่มาติภูมิต่าง ๆ ในระยะเวลาอันสั้น

        การสอนของนบีมูฮำหมัด ท่านใช้ทฤษฎีอะไร มีการหยิบหรือนำเอาปราชญากรีกโรมันมาบ้างหรือไม่  ท่านมีโรงเรียนไหมสำหรับสอนบรรดาสหายของท่าน หรือ ดารุลอัรกอมที่ท่านใช้สอนบรรดาสหายในยุคแรกๆ นั้นคือ โรงเรียน ขั้นตอนและวิธีการสอนต่าง ๆ มีว่าอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกับวิธีการสอนที่พวกเราไปเอาของตะวันตกอย่างไร

        ผมขอยกตัวอย่าง หลักการสอนหรือวิธีการสอนที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนดื่มสุรา กับที่ใช้ในสมัยนบีมุฮำหมัด วิธีการใดที่ได้ผลที่สุด ประมาณปี ค.ศ.1929 สหรัฐอเมริกาได้พยายามทุกวิธีทางให้ประชาชนของเขาเลิกการดื่มเล่า ทั้งใช้วิทยุ หนังสือพิมพ์ สือภาพยนต์ เพื่อโฆษนาถึงอันตรายของการดื่มเหล้า โดยได้สิ้นเปลืองงบประมาณในการนี้มากมาย และตลอดระยะเวลา 14 ปีที่รณรงค์ในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ได้จำคุกคนทำผิดเนื่องจากดื่มเหล้ามากกว่าครึ่งล้านคน และได้ประหารชีวิตมากถึง 532,325 คน แต่ในที่สุดทางรัฐบาลสหรัฐก็ต้องยกเลิกกฎหมายในปี 1933 และอนุญาตให้ดื่มเหล้าอย่างเสรี

            ในยุคแรกของอิสลาม อิสลามไม่ได้ห้ามการดื่มเหล้า และคนอาหรับในสมัยนั้นคงไม่ต่างกับคนสหรัฐในการเป็นคนขี้เหล้า ดื่มเหล้าต่างน้ำ จนบางครั้งไปทำศาสนากิจไม่รู้ว่าได้อ่านอะไรไปบ้าง จนอัลลอฮฺได้ประทานอัลกุรอานห้ามดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด และมุสลิมก็ได้เทเหล้าทิ้งและเลิกดื่มเหล้าอย่างสิ้นเชิง.

        อิสลามสอนอย่างไร ใช้วิธีการไหน มีสอนไหมในทฤษฏีของคนตะวันตก ต้องติดตามศึกษาต่อไป 

  


--------------------

คัดมาจากที่เคยเขียนไว้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ที่ได้เขียนและบันทึกลงใน เขียนใน GotoKnow ในนาม ibm ครูปอเนาะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น