วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2565

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 35 (51) :

 



หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 35 (51) :

حَدَّثَنَا زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ حَدَّثَنَا جَرِيرٌ عَنْ سُهَيْلٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ عَنْ أَبِي صَالِحٍ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

الْإِيمَانُ بِضْعٌ وَسَبْعُونَ أَوْ بِضْعٌ وَسِتُّونَ شُعْبَةً فَأَفْضَلُهَا قَوْلُ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَدْنَاهَا إِمَاطَةُ الْأَذَى عَنْ الطَّرِيقِ وَالْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنْ الْإِيمَانِ

ความว่า : 

     ซูไฮรฺ อิบนุหัรฺบิน ได้กล่าวว่า ญะรีรฺ ได้บอกว่า ซุไฮลิน ได้รายงานว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุดินารฺ ได้รายงานว่า อะบูศอลิหฺ ได้กล่าวว่า รายงานจาก อะบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้กล่าว่า เราะซูลุลลอฮฺ ได้กล่าว่า

“อีมาน(ความศรัทธา)มี 70 หรือ 60 กว่าแขนง ที่ดีที่สุด คือ คำ ลาอิลาฮะอิลล็อลลอฮฺ และที่ตำที่สุดคือ เอาออกสิ่งขีดขวางออกจากท้องถนน และความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา”

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 35 (50) :

 



หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 35 (50) :

حَدَّثَنَا عُبَيْدُ اللَّهِ بْنُ سَعِيدٍ وَعَبْدُ بْنُ حميد ، قَالَا : حَدَّثَنَا أَبُو عَامِرٍ الْعَقَدِيُّ ، حَدَّثَنَا سُلَيْمَانُ بْنُ بِلَالٍ ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ ، عَنْ أَبِي صَالِحٍ ، 

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ :

" الإِيمَانُ بِضْعٌ وَسَبْعُونَ شُعْبَةً ، وَالْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنَ الإِيمَانِ "

ความว่า : 

อุบัยดิลลาฮฺ อิบนุซะอีดและอับดุ อิบนุหะมีด ได้กล่าวแก่ฉันว่า อะบูอามิรฺ อัลอะเกาะดีย์ ได้กล่าวแก่เขาว่า ซุไลมาน อิบนุบิลาลาล ได้กล่าวว่ามีรายงานจาก อับดุลลอฮฺ อิบนุ ดินารฺ ซึ่งได้รับรางานจาก อะบูศอลิหฺว่า 

อะบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้รายงานว่า นบีได้กล่าวว่า

"อีมาน(ความศรัทธา)มีเจ็ดสิบกว่าแขนง และความอายเป็นแขนงหนึ่งของอีมาน"

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 4 (5) :

 

 



 เศาะหีหฺมุสลิม หะดีษที่ 3(4)


وحَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ عُبَيْدٍ الْغُبَرِيُّ ، حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ ، عَنْ أَبِي حَصِينٍ ، عَنْ أَبِي صَالِحٍ ، عَنْ أَبِى هُرَيْرَةَ ، قَال : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :ـ  
" مَنْ كَذَبَ عَلَيَّ مُتَعَمِّدًا ، فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ " .
ความว่า : 
และได้รายงานแก่เราโดย มุหัมมัด อิบนุ อุบัยดฺ อัล-ฆุบารียฺ ได้รายงานแก่เรา โดย อะบู อะวานะฮฺ จาก อะบี หะศีน จาก อะบีศอลิฮฺ จากอะบูหุร็อยเราะฮฺ ได้กล่าว่า่ .. ท่านเราะซูลุลลอฮฺ-ศ็อลฯ- ได้กล่าวว่า..  
"ผู้ใดได้กล่าวเท็จในตัวฉันด้วยความตั้งใจ จงครอบครองที่นั่งของเขาในนรก"


 




 
-----------------

        หะดีษทั้ง 3 หะดีษที่ผ่านมา เป็นหะดีษที่เกี่ยวกับห้ามกล่าวเท็จในตัวท่านนบี กล่าวคือ ที่ไม่ใช่หะดีษบอกว่าหะดีษ ถ้าได้กระทำลงไปนับว่ามีความผิดอย่างใหญ่หลวง การกล่าวเท็จในความรู้ทั่วไปก็ไม่ควรกระทำเช่นกันโดยเฉพาะกล่าวเท็จในตัวนักวิชาการหรืออุลามาอฺที่เป็นผู้รู้ในเรื่องศาสนา และโดยพื้นฐานทั่วไปแล้วการกล่าวเท็จนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับมุสลิมที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ ศรัทธาในศาสดาอย่างแท้จริง

        เป็นที่รู้กันดีในวงการหะดีษว่า หะดีษที่บันทึกโดยท่านมุสลิมนี้ เป็นหะดีษที่น่าเชื่อถือมากรองจากหะดีษที่บันทึกโดยอัลบุคอรี โดยเฉพาะหะดีษที่มีการบันทึกทั้งสองคนอย่างที่ยกมาในที่ทั้งสามหะดีษ ความน่าเชื่อถือของหะดีษนี้ก็มีมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามนักศึกษาหะดีษบางคนก็ยังได้พบว่าหะดีษของท่านอิมามมุสลิมนี้บางหะดีษยังมีหะดีษที่อยู่ในระดับความน่าเชื่อถือที่อ่อน(เฎาะอีฟ) ก็ไม่อาจปฎิเสธได้ แต่เมื่อเจอหะดีษเฎาะอีฟแล้ว ท่านมุสลิมก็ได้เขียนในบทนำของหนังสือของเขาว่า จะต้องบอกด้วยว่าหะดีษที่กล่าวมานั้นเป็นหะดีษเฎาะอีฟ เพื่อที่คนที่ฟังจะได้นำไปพิจรณาในการปฎิบัตใช้ 

        นักวิชาการในการศาสนาบางท่านได้นำเสนอว่า การนำหะดีษเฎาะอีฟไปใช้นั้น มีเงื่อนไขอยู่ 3 อย่าง
  1. ต้องไม่เป็นหะดีษเฎาะอีฟที่อยู่ในระดับเฎาะอีฟมากๆ 
  2. หะดีษเฎาะอีฟนั้น มีต้นต่อมาจากหะดีษเศาะหีหฺ
  3. และไม่ยึดมั่นว่าหะดีษเฎาะอีฟที่ว่านี้เป็นคำพูดของท่านนบี-ศ็อลฯ-
        แน่นอนหะดีษเฎาะอีฟนี้ไม่สามารถที่จะนำไปโต้แย้งในการกำหนดบทบัญญัติได้ กล่าวคือ ไม่สามารถที่จะตัดสินว่าคนนั้นถูกหรือผิดตามหะดีษเฎาะอีฟนี้ได้ กระทำได้เพียงในการสนับสนุนในการทำดีในบางอย่าง .. วัลลอฮฺอะอฺลัม

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 2 (3) :

 





 เศาะหีหฺมุสลิม หะดีษที่ 2 (3)


 وحَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ ، حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيل يَعْنِي ابْنَ عُلَيَّةَ ، عَنْ عَبْدِ الْعَزِيزِ بْنِ صُهَيْبٍ ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ، أَنَّه قَالَ  : إِنَّهُ لَيَمْنَعُنِي أَنْ أُحَدِّثَكُمْ حَدِيثًا كَثِيرًا ،أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ :ـ 
 مَنْ تَعَمَّدَ عَلَيَّ كَذِبًا ، فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ
ความว่า :
ได้รายงานแก่ฉันโดย ซูไฮรฺ อิบนุหัรฺบฺ ได้รายงานแก่เรา อิสมาอีล คือ อิบนุอุลัยยะฮฺ จาก อับดุลอาซีซฺ อิบนุศุไฮบฺ จาก อะนัซ อิบนุมาลิก เขาได้กล่าวว่า 
"สิ่งหนึ่งที่ได้ห้ามฉันบอกหะดีษแก่พวกเจ้ามากไม่ได้ เพราะท่านเราะซูลุลอฮฺ ได้กว่าวว่า .. 
"ผู้ใดจงใจพูดเท็จในตัวฉัน จงครอบครองที่นั่งของเขาในนรก" 


 


-------------------------- 

تَبَوَّأ  ที่หนึ่งที่ใด หมายถึงถึงให้ดำรงอยู่ที่นั้น หรือเป็นประชากรของสถานที่แห่งนั้น ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺยูซุฟ อายะฮฺที่ 56 ว่า  
وَكَذَٰلِكَ مَكَّنَّا لِيُوسُفَ فِي الْأَرْضِ يَتَبَوَّأُ مِنْهَا حَيْثُ يَشَاءُ ۚ   
(และเช่นนั้นแหละ เราได้ให้ยูซุฟมีอำนาจในแผ่นดินเขาจะพำนักอยู่ที่ใดได้ตามต้องการ)  


หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 1 (2) :

 
เศาะหีหฺมุสลิม หะดีษที่ 1 (2)

1 (2)  وحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ ، حَدَّثَنَا غُنْدَرٌ ، عَنْ شُعْبَةَ . ح وَحَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى وَابْنُ بَشَّارٍ ، قَالَا : حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ ، عَنْ مَنْصُورٍ ، عَنْ رِبْعِيِّ بْنِ حِرَاشٍ ، أَنَّهُ سَمِعَ عَلِيًّا رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ يَخْطُبُ ، قَالَ :ـ
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :

 

 لَا تَكْذِبُوا عَلَيَّ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَكْذِبْ عَلَيَّ ، يَلِجِ النَّارَ   
ความว่า :
1(2). และได้รายงานแก่เราโดย อะบูบักรฺ อิบนุ อะบีชัยบะฮฺ รางงานแก่เราโอย ฆุนุดะรฺ จากชุอฺบะฮฺ. (จากสายรายงานสายอื่น) ได้รายงานแก่เราโดย มุหัมมัด อิบนุ อัล-มุษันนา และอิบนุบะชารฺ ทั้งสองได้กล่าว่า่ มุหัมมัด อิบนุญะอฺฟาร ได้รายงานแก่เราโดย ชุอฺบะฮฺ จาก มันศูร จากริบอีย์อิบนุหิรอช ว่า เขาได้ยิน อาลี-เราะฎิยัลลอฮุอันฮู- ได้กล่าว ปาฐคถาว่า "ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า..  
"พวกเจ้าอย่าพูดเท็จในตัวฉัน 
เพราะผู้ที่พูดเท็จเกี่ยวกับตัวฉันนั้น จะต้องเข้านรก" 






------------------- 

  يَلِجِ แปลว่า เข้า ดังคำ นี้ที่อัลลอฮฺในอัลกุรอาน ในซูเราะฮฺ อัล-อะรอฟ อายะฮฺ 40 ที่ว่า
 وَلَا يَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّىٰ يَلِجَ الْجَمَلُ فِي سَمِّ الْخِيَاطِ
 (พวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าอูฐเข้าไปในรูเข็มได้)


วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1935(1799) : 29. เรื่อง เมื่อร่วมเพศในเดือนรอมฎอน

 





        มีรายงานอ้างถึงอะบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่าท่านท่านนบี  ได้กล่าวว่า 
 "مَنْ أفْطَرَ يَوْماً مِنْ رَمَضَانَ منْ غَيْرِ عِلَّةٍ ولا مَرَضٍ لَمْ يَقْضِهِ صِيَامُ الدّهْرِ كُلّهِ وإنْ صَامَهُ"
(ผู้ใดไม่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน โดยไม่มีสาเหตุจำเป็นใดๆ ไม่เจ็บป่วย ไม่สามาถที่จะทดแทนด้วยการถือศีลอดตลอดทั้งปี) 

        อิบนุมัซอูด ซะอีดอิบนุอัลมุไซยับ อัชชะอฺบีย์ อิบนุญุไบรฺ อิบรอฮีม เกาะตาดะฮฺ และฮัมมาด กล่าวว่า : สามารถถือศีลอดทดแทนในวันที่ละศีลอดนั้น 

1935.  حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُنِيرٍ سَمِعَ يَزِيدَ بْنَ هَارُونَ حَدَّثَنَا يَحْيَى هُوَ ابْنُ سَعِيدٍ أَنَّ عَبْدَ الرَّحْمَنِ بْنَ الْقَاسِمِ أَخْبَرَهُ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ جَعْفَرِ بْنِ الزُّبَيْرِ بْنِ الْعَوَّامِ بْنِ خُوَيْلِدٍ عَنْ عَبَّادِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الزُّبَيْرِ أَخْبَرَهُ أَنَّهُ سَمِعَ عَائِشَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا تَقُولُ إِنَّ رَجُلًا أَتَى النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ إِنَّهُ احْتَرَقَ قَالَ مَا لَكَ قَالَ أَصَبْتُ أَهْلِي فِي رَمَضَانَ فَأُتِيَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِمِكْتَلٍ يُدْعَى الْعَرَقَ فَقَالَ أَيْنَ الْمُحْتَرِقُ قَالَ أَنَا قَالَ تَصَدَّقْ بِهَذَا

1935(1799) :
อับดุลลอฮฺ อิบนุมุนีริ ได้บอกแก่เราว่า เขาได้ยิน ยะซีด อิบนุฮารูน ได้บอกแก่เราว่า ยะหฺยา เขาเป็นบุตรของซะอีด ได้รายงานว่า อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุอัลกอซิม ได้บอกแก่เราว่า มุหัมมัด อิบนุญะอฺฟัรฺ  อิบนุอ้ซซุไบรฺ อิบนุอัลเอาวาม อิบนุคุไวลิด ได้รับรายงานจาก อับบาด อิบนุอับดุลลออฺ อิบนุอัซซุไบรฺ ได้บอกแก่เขาว่า เขาได้ยินท่านหญิงอาอิชะฮฺ-เราะฎิยัลลอฮุอันฮา- กล่าวว่า.

 มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ﷺ แล้วกล่าวว่า เขาถูกไฟเผาแล้ว ท่านนบีﷺถามเขาว่า "เป็นอะไรกับเจ้า" เขาตอบว่า "ฉันสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาของฉันในเดือนรอมฎอน" ท่านนบีก็ได้นำอินตผาลัมจำนวนหนึ่งแล้วกล่าวว่า "ไหนละคนที่ถูกเผา?" ชายคนนั้นตอบว่า "ฉัน" ท่านก็กล่าว "เจ้าจงบริจาคด้วยสิ่งนี้"

 

 

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565

ริยาดุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 7 (ความงามไม่ได้อยู่ที่รูปร่างและหน้าตา)

 


لا ينطر الى أجسام


หะดีษที่ 7

  وَعَنْ أبي هُريْرة عَبْدِ الرَّحْمن بْنِ صخْرٍ رضي الله عَنْهُ قال : قالَ رَسُولُ الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم: «إِنَّ الله لا يَنْظُرُ إِلى أَجْسامِكْم ، وَلا إِلى صُوَرِكُمْ ، وَلَكِنْ يَنْظُرُ إِلَى قُلُوبِكُمْ وَأَعمالِكُمْ » رواه مسلم .

ความหมายหะดีษ

       รายงานจาก อะบูฮุร็อยเราะฮฺ อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ ศอคริน (รอฎิฯ) ว่า : ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺไม่มองที่เรือนร่างของพวกเจ้า และรูปทรงของพวกเจ้า แต่จะมองที่จิตใจและการงานของพวกเจ้า 

            บันทึกโดยมุสลิม


คำอธิบายหะดีษ

إِنَّ الله لا يَنْظُرُ إِلى أَجْسامِكْم ، وَلا إِلى صُوَرِكُمْ         (แท้จริงอัลลอฮฺไม่มองที่เรื่อนร่างของพวกเจ้าและรูปทรงของพวกเจ้า)  يَنْظُرُ   มองหรือดู ในที่นี้หมายถึง การคิดคำนวณความดีความชอบ การตอบแทนผลบุญที่ควรจะได้รับในวันอะคิเราะฮฺ 

         อัลลอฮฺได้กล่าวในซูเราะฮฺที่ 49 อัลฮุญะรอต อายัตที่ 13 ว่า

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

หะดีษที่ 6 : อิคลาศ(บริจาค 1/3 ของทรัพย์สินถือว่ามาก)

 



หะดีษที่ 6


 وَعَنْ أبي إِسْحَاقَ سعْدِ بْنِ أبي وَقَّاصٍ مَالك بن أُهَيْبِ بْنِ عَبْدِ مَنَافِ بْنِ زُهرةَ بْنِ كِلابِ بْنِ مُرَّةَ بْنِ كعْبِ بنِ لُؤىٍّ الْقُرشِيِّ الزُّهَرِيِّ رضِي اللهُ عَنْهُ، أَحدِ الْعَشرة الْمَشْهودِ لَهمْ بِالْجَنَّة ، رضِي اللَّهُ عَنْهُم قال: « جَاءَنِي رسولُ الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم يَعُودُنِي عَامَ حَجَّة الْوَداعِ مِنْ وَجعٍ اشْتدَّ بِي فَقُلْتُ : يا رسُول اللهِ إِنِّي قَدْ بلغَ بِي مِن الْوجعِ مَا تَرى ، وَأَنَا ذُو مَالٍ وَلاَ يَرثُنِي إِلاَّ ابْنةٌ لِي ، أَفأَتصَدَّق بثُلُثَىْ مالِي؟ قَالَ: لا ، قُلْتُ : فالشَّطُر يَارسوُلَ الله ؟ فقالَ : لا، قُلْتُ فالثُّلُثُ يا رسول الله؟ قال: الثُّلثُ والثُّلُثُ كثِيرٌ  أَوْ كَبِيرٌ إِنَّكَ إِنْ تَذرَ وَرثتك أغنِياءَ خَيْرٌ مِن أَنْ تذرهُمْ عالَةً يَتكفَّفُونَ النَّاس ، وَإِنَّكَ لَنْ تُنفِق نَفَقةً تبْتغِي بِهَا وجْهَ الله إِلاَّ أُجرْتَ عَلَيْهَا حَتَّى ما تَجْعلُ في فِيِّ امْرَأَتكَ قَال: فَقلْت: يَا رَسُولَ الله أُخَلَّفَ بَعْدَ أَصْحَابِي؟ قَال: إِنَّك لن تُخَلَّفَ فتعْمَل عَمَلاً تَبْتغِي بِهِ وَجْهَ الله إلاَّ ازْددْتَ بِهِ دَرجةً ورِفعةً ولعَلَّك أَنْ تُخلَّف حَتَى ينْتفعَ بكَ أَقَوامٌ وَيُضَرَّ بك آخرُونَ. اللَّهُمَّ أَمْضِ لأِصْحابي هجْرتَهُم، وَلاَ ترُدَّهُمْ عَلَى أَعْقَابِهم، لَكن الْبائسُ سعْدُ بْنُ خـوْلَةَ « يرْثى لَهُ رسولُ الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم» أَن مَاتَ بمكَّةَ » متفقٌ عليه .


               และรายงานจาก อะบูอิสหาก ซะอัด อิบนุ อะบูวักกอศฺ มาลิก อิบนุ อุไฮบฺ อิบนุ มะนาฟ อิบนุ ซุฮฺเราะฮฺ อิบนุ กิลาบ อิบนุ มุรฺเราะฮฺ อิบนุ กะอับ อิบนุ ลุอัย อัลกุรชียฺ อัซซุฮะรียฺ รอฎิยัลลอฮิอันฮุ(ขอความโปรดปรานจากอัลลอฮฺมีแด่ท่าน) หนึ่งในสิบที่ได้รับการยืนยันว่าพวกเขาได้เข้าสวรรค์ รอฎิยัลลอฮฺอันฮุม(ขอความโปรดปรานจากอัลลอฮฺมีแด่พวกเขาทั้งหลาย) กล่าวว่า

หะดีษที่ 5 : อิคลาศ(ลูกร้บเงินบริจาคของพ่อ)

 




หะดีษที่ 5

وَعَنْ أبي يَزِيدَ مَعْنِ بْن يَزِيدَ بْنِ الأَخْنسِ رضي الله عَنْهمْ، وَهُوَ وَأَبُوهُ وَجَدّهُ صَحَابِيُّونَ، قَال: كَانَ أبي يَزِيدُ أَخْرَجَ دَنَانِيرَ يَتصَدَّقُ بِهَا فَوَضَعَهَا عِنْدَ رَجُلٍ في الْمَسْجِدِ فَجِئْتُ فَأَخَذْتُهَا فَأَتيْتُهُ بِهَا . فَقَالَ : وَاللهِ مَا إِيَّاكَ أَرَدْتُ ، فَخَاصمْتُهُ إِلَى رسول اللهِ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم فَقَالَ: «لَكَ مَا نويْتَ يَا يَزِيدُ ، وَلَكَ مَا أَخذْتَ يَا مَعْنُ » رواه البخاريُّ  .

        รายงานจาก อะบูยะซีด มะอัน อิบนุ ยะซีด อิบนุ อัลอัคนัส (รอฎิฯ) เขาและครอบพ่อเขาและปู่เขาทั้งหมดเป็นเศาะหาบะฮฺ เขาได้กล่าวว่า : พ่อฉัน คือ ยะซีด ได้บริจาคเป็นเงินดินารฺจำนวนหนึ่ง โดยได้ให้ผ่านชายหนึ่งในมัสยิด ฉัน(มะอัน)ก็มา-ที่ชายคนนั้น-แล้วเอาเงินบริจาคนั้น จากนั้นฉันก็ไปหาพ่อของฉันด้วยเงินจำนวนนั้น พ่อฉันพูดว่า "วัลลอฮี(ฉันขอสาบานกับอัลลอฮฺ) ไม่ใช่เจ้าที่ฉันต้องการ-บริจาค-"  ฉันก็โต้เถียงกับท่านจนสิ้นสุดที่เราะซูลุลลอฮฺ  และท่านเราะซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า "สำหรับเจ้ายะซีด เจ้าได้อะไรตามที่เจ้าตั้งเจตนาไว้ และมะอันก็เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าเอาไป

        (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺ)

        หะดีษนี้ผู้บันทึกหะดีษ ได้บันทึกเรื่องราวของสองพ่อลูกที่เป็นแบบอย่างของการให้บริจากของพ่อที่ตกไปยังลูกของตนเอง

คำอธิบาย 

หะดีษที่ 4 : อิคลาศ(ตั้งใจทำแต่ทำไม่ได้ก็ได้บุญ)

 


หะดีษที่ 4

عَنْ أبي عَبْدِ اللهِ جابِرِ بْنِ عَبْدِ اللهِ الأَنْصَارِيِّ رضِيَ الله عنْهُمَا قَالَ :كُنَّا مَع النَّبِيِّ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم في غَزَاة فَقَالَ : «إِنَّ بِالْمَدِينَةِ لَرِجَالاً مَا سِرْتُمْ مَسِيراً ، وَلاَ قَطَعْتُمْ وَادِياً إِلاَّ كانُوا مَعكُم حَبَسَهُمُ الْمَرَضُ» وَفِي روايَةِ : «إِلاَّ شَركُوكُمْ في الأَجْرِ» رَواهُ مُسْلِمٌ .

ورواهُ البُخَارِيُّ  عَنْ أَنَسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ :رَجَعْنَا مِنْ غَزْوَةِ تَبُوكَ مَعَ النَّبِيِّ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم فَقَالَ: «إِنَّ أَقْوَامَاً خلْفَنَا بالمدِينةِ مَا سَلَكْنَا شِعْباً وَلاَ وَادِياً إِلاَّ وَهُمْ مَعَنَا ، حَبَسَهُمْ الْعُذْرُ».

               

        รายงานจาก อะบูอับดุลลอฮฺ ญาบิรฺ อิบนุ อับดุลลอฮฺ อัลอันศอรียฺ -รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา(ขออัลลอฮฺทรงโปรดปรานแก่เขาทั้งสอง)- กล่าวว่า : เราได้อยู่กับนบี   ในสงครามหนึ่ง ท่านนบีกล่าวว่า

               “ในมะดีนะฮฺมีชายอยู่กลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าจะเดินไปทางใดทางหนึ่งและเจ้าจะข้ามที่ช่องเขาใดช่องเขาหนึ่ง พวกเขาก็พร้อม ๆ กับพวกเจ้า พวกเขาถูกความป่วยตรึงไว้(ทำให้ไปด้วยไม่ได้)” ในอีกรายงาน กล่าวว่า พวกเขาได้ผลบุญร่วมกับพวกเจ้า”  (บันทึกโดยมุสลิม)

               ในบันทึกของ อัลบุคอรียฺ รายงานจากอะนัส(รอฎิฯ) กล่าวว่า : พวกเราได้กลับจากการทำสงครามตะบูกพร้อมๆนบี  แล้วท่านก็กล่าวว่า

มีหลายกลุ่มที่อยู่ด้านหลังเราที่มะดีนะฮฺ ไม่ว่าเราจะข้ามหุบเขาหรือที่ช่องเขาใดก็ตามพวกเขาก็จะไปพร้อมๆกับเรา –พวกเขามาไม่ได้-เพราะความจำเป็นตรึงเขาไว้ 

 

คำอธิบาย
        الأَنْصَارِيِّ มาจากคำว่า أَنْصَار เป็นคำพหูพจน์ของคำว่า نَاصِرٌ แปลว่า ผู้ให้ความช่วยเหลือ หมายถึง ชาวมะดีนะฮฺ ที่ได้ช่วยเหลือนบี  และอิสลาม พวกเขาจึงได้ชื่อว่า อัลอันศอรียฺ

        جابِرِ بْنِ عَبْدِ اللهِ الأَنْصَارِيِّ (ญาบิรฺ อัล-อันศอรียฺ) เป็นเศาะหาบะฮฺท่านหนึ่งในเจ็ดท่านที่ได้รายงานหะดีษมากที่สุด และญาบีรฺนี้เป็นเศาะหาบะฮฺคนสุดท้ายที่เสียชีวิตที่มะดีนะฮฺ

        غَزَاة คือ غَزَاة หมายถึงการทำสงครามของนบี   และในที่นี้หมายถึงสงครามตาบูกทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งเกิดขึ้นในปีที่ 9 หลังจากนบีฮิจเราะฮฺ

        شَرَكُوكُمْ في الأَجْرِ (ร่วมกับพวกเจ้าในผลบุญ) คือ พวกเขาได้รับผลบุญเหมือนกับพวกเจ้า แม้นว่าพวกเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยก็ตาม 

        شِعْباً หมายถึงทางเดินระหว่างช่องเขา

        وَادِي หมายถึง ที่ราบระหว่างช่องเขา


บทเรียนจากหะดีษนี้

        ผู้ที่ไม่สามารถออกไปทำการญิฮาดได้ เนื่องจากป่วยหรือมีความจำเป็นอย่างอื่น แต่ถ้าเขาตั้งเจตนา(เนียต)และต้องการที่จะไปญิฮาดจริง เขาก็จะได้ผลบุญเหมือนผู้ที่ออกไปญิฮาด
        นอกจากญิฮาดแล้ว งานอื่นที่เป็นงานสร้างความดีทั้งหลายก็เช่นกัน ถ้าเขาเนียตที่จะทำแต่ไม่ได้ทำเพราะความจำเป็นมากีดกั้นความตั้งใจของเขา เขาก็จะได้บุญ
        คนๆหนึ่งปกติเขาละหมาดญะมาอะฮฺเสมอ และเขาก็ตั้งใจที่จะอย่างนั้นทุกเวลา แต่ด้วยสาเหตุเขาป่วย หรือต้องเดินทาง หรือหลับ เป็นต้น เขาก็จะได้บุญเหมือนที่เขาละหมาดญะมาอะฮฺ โดยไม่ลดลงแม้แต่น้อย

        ท่านนบี   กล่าวในอีกหะดีษหนึ่งว่า

        "إذا مرض العبد أو سافر كتب له مثل ما كان يعمل مقيماً صحيحا ً "

        ความว่า “ถ้าบ่าวคนหนึ่งป่วยหรือเดินทาง เขาก็จะได้รับการบันทึกเหมือนคนที่ยังอยู่อย่างสมบูรณ์” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺ)


หะดีษที่ 3 : อิคลาศ(ไม่มีอพยพหลังฮิจเราะฮฺ)

 



หะดีษที่ 3

وعَنْ عَائِشَة رَضِيَ الله عنْهَا قَالَت قالَ النَّبِيُّ صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم :

 «لاَ هِجْرَةَ بَعْدَ الْفَتْحِ، وَلكنْ جِهَادٌ وَنِيَّةٌ ، وَإِذَا اسْتُنْفرِتُمْ فانْفِرُوا»

مُتَّفَقٌ عَلَيْهِ

 وَمَعْنَاهُ : لا هِجْرَةَ مِنْ مَكَّةَ لأَنَّهَا صَارَتْ دَارَ إِسْلامٍ


ความว่า : รายงานจาก อาอิชะฮฺ -รอฎิยัลลอฮุอันฮา- ท่านได้กล่าวว่า : ท่านนบี  ได้กล่าวว่า ไม่มีการฮิจเราะฮฺ(อพยพ)หลังจากเปิดมักกะฮฺ แต่มีการญิฮาดและการตั้งเจตนา และถ้าพวกเจ้าถูกเรียก(ให้ออกสงคราม)เจ้าจงไป


                    บันทึกโดย อัล-อัลบุคอรีย์และมุสลิม และทั้งสองเห็นพ้องว่าหะดีษนี้ศอหีหฺ


                    หมายถึง ไม่มีการอพยพจากมักกะฮฺไปยังมะดีนะฮฺอีกเพราะ มักกะฮฺเป็นเมืองที่ปกครองโดยอิสลามแล้ว

         

คำอธิบาย

        الْفَتْحِ การเปิด หมายถึง การเปิดนครมะกะฮฺที่ปกครองมานานโดยกาฟิรฺกุรอยชฺ และในปีที่ 8 ของการอพยพของนบี  ไปมะดีนะฮฺ ท่านนบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ได้ยกทัพพิชิตนครมักกะฮฺ และหลังจากนั้นนครมักกะฮฺก็เป็นเมืองที่ปกครองโดยมุสลิม ใช้กฎหมายอิสลามปกครองอย่างสันติเป็นต้นมา ฉะนั้นไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่คนมักกะฮฺในสมัยนั้นจะอพยพตามนบีไปยังเมืองมะดีนะฮฺอีก

        جِهَادٌ การญิฮาด หมายถึง การทำสงครามศาสนา เพื่อปกป้องศาสนา ปกป้องดินแดนมุสลิม และปกป้องมุสลิม 

            อุลามาอได้แบ่งการญิฮาด หลายลักษณะ เช่น
                ญิฮาดด้วยวาจา คือ การพูด การบรรยาย การอภิปราย การสอน หรือสนทนาเกี่ยวกับศาสนา ให้ผู้คนเข้าใจอิสลามอย่างถูกต้อง รวมถึงการเขียนหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับศาสนาด้วย และผู้ออกไปศึกษาหาความรู้นับว่าเป็นการญิฮาดอย่างหนึ่ง
                ญิฮาดด้วยเงินทอง คือ การบริจาคเงินทองเพื่อศาสนา
                ญิฮาดด้วยชีวิต คือ การออกไปทำสงครามศาสนา สละพละกำลังเพื่อศาสนาหรือเพื่อคนมุสลิม เป็นต้น
        نِيَّةٌ คือ การตั้งเจตนา แม้การออกไปทำสงครามเพื่อศาสนาแล้วไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปนั้นจะถูกต้องและได้ผลบุญตามที่ถูกกำหนด คือ ถ้าเสียชีวิตนับวาคน ๆ นั้นเป็นชาฮีดและได้เข้าสวรรค์ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ต้องอยู่กับการตั้งเจตนาของเขาทั้งก่อนและระหว่างออกไปญิฮาด
        وَإِذَا اسْتُنْفرِتُمْ فانْفِرُوا (และถ้าพวกเจ้าถูกเรียก-ให้ออกไปทำสงคราม- เจ้าจงไป) หมายความว่า มุสลิมต้องมีผู้นำ และจะต้องทำตามคำสั่งผู้นำทุกอย่าง แม้จะเรียกไปเสี่ยงกับความตายก็ต้องไป

บทเรียนจากหะดีนี้

        1. คนที่อยู่ในเมืองที่สันติ ปกครองโดยมุสลิม หรือเป็นเมืองอิสลามแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพอีก แต่ถ้าเมืองใดที่มุสลิมถูกคุกคามก็จำเป็นที่จะต้องอพยพ และทุกครั้งที่อพยพจะได้ผลบุญการอพยพ เพราะได้ปฏิบัติตามแนวทางที่นบีได้วางไว้

        2. การนิยฺยะฮฺหรือตั้งเจตนาเพื่อญิฮาดต้องมี และทุกคนจะต้องนิยฺยะฮฺวะจะไปญิฮาด ส่วนจะทำญิฮาดแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความสามารถของแต่ละคน

        3. มุสลิมจะต้องมีผู้นำ และต้องเชื่อฟังผู้นำนั้น

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

หะดีษที่ 2 : อิคลาศ(ต่อ)

 


หะดีษที่ 2

 وَعَنْ أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ أُمِّ عَبْدِ اللَّهِ عَائشَةَ رَضيَ الله عنها قالت: قال رسول الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم:

« يَغْزُو جَيْشٌ الْكَعْبَةَ فَإِذَا كَانُوا بِبَيْداءَ مِنَ الأَرْضِ يُخْسَفُ بأَوَّلِهِم وَآخِرِهِمْ ». قَالَتْ : قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ ، كَيْفَ يُخْسَفُ بَأَوَّلِهِم وَآخِرِهِمْ وَفِيهِمْ أَسْوَاقُهُمْ وَمَنْ لَيْسَ مِنهُمْ ،؟ قَالَ : «يُخْسَفُ بِأَوَّلِهِم وَآخِرِهِمْ ، ثُمَّ يُبْعَثُون عَلَى نِيَّاتِهِمْ »

مُتَّفَقٌ عَلَيْهِ : هذا لَفْظُ الْبُخَارِيِّ



ความว่า : และรายงายจากอุมุลมุมีนีน อุมมุลอับดุลลอฮฺ อาอิชะฮฺ -รอฎิยัลลอฮุอันฮา- ท่านได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้กล่าวว่า ทหารจะยกทัพมาทำลาย อัลกะอฺบะฮฺ เมื่อพวกเขาได้เดินทางมาถึงบริเวณทุ่งกว้างแห่งหนึ่ง ก็ถูกธรณีสูบตั้งคนแรกจนถึงคนสุดท้าย ฉันก็ถามว่า : ท่านรอซูลุลลอฮฺ ธรณีจะสูบพวกเขาตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายได้อย่างไร เพราะในหมู่พวกเขานั้นมีคนที่มาค้าขาย และคนที่ไม่ได้เป็นทหาร. ท่านนบีตอบว่า ธรณีจะสูบตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย แล้วพวกเขาจะฟื้นคืนชีพตัดสินตามเจตนาของเขา

                        มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ(ทั้งสอง-บุคอรียฺและมุสลิม-เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นหะดีษเศาะหีหฺ) : บทหะดีษบทนี้เป็นบันทึกของ อัลบุคอรียฺ


คำอธิบายหะดีษ :
        جَيْشٌ      (ทหาร) ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นทหารในสมัยใด เป็นเรื่องเร้นลับที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้พยากรณ์ไว้
        بَيْداءَ       หมายถึง พื้นดินที่เป็นพื้นราบที่แห้งแล้ง ไม่มีพืชสัตว์หรือสิ่งใดอยู่ในที่นั้นเลย
        يُخْسَفُ     ถูกสูบลงใต้พื้นดิน
        أَسْوَاقُ    เป็นพหูพจน์ของคำว่า سوق แปลว่า ตลาด และ أَسْوَاقُهُمْ ในที่นี้หมายถึงผลเรือนที่มาเพื่อทำมาค้าขายไม่ใช่ทหาร และไม่เกี่ยวข้องกับการไปทำลายกะอฺบะฮฺ และแสดงให้เห็นว่าจำนวณทหารที่มาเพื่อทำลายกะอฺบะฮฺนั้นเป็นกองทัพใหญ่โต เพราะภายในกลุ่มนั้นมีตลาดและมีการซื้อขายด้วย

        ثُمَّ يُبْعَثُون عَلَى نِيَّاتِهِمْ (แล้วพวกเขาจะฟื้นคืนชีพตัดสินตามเจตนาของเขา) หมายถึง พวกที่ตายเพราะถูกแผ่นดินสูบลงไป แม้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายกะอฺบะฮฺ และไม่ได้ตายเพราะความผิด ดังนั้นเวลาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ เขาจะถูกตัดสินตามเจตนาของเขา ถ้าเขามีเจตนาร่วมกับพวกที่ต้องการทำลายกะอฺบะฮฺด้วยพวกเขาก็ต้องรับโทษเช่นกัน

บทเรียนจากหะดีษนี้

1.  ผลกรรมที่มนุษย์จะได้รับในวันกิยามะฮฺ ขึ้นอยู่กับเจตนาของเขา

2. ไม่ควรอยู่ใกล้คนไม่ดี เพราะเวลาอัลลอฮฺจะลงโทษ(บนโลกนี้) จะลงโทษเป็นกลุ่มคนทั้งกลุ่มไม่ว่าเขาคนนั้นเป็นคนดีหรือคนไม่ดี อัลลอฮฺตรัสว่า

وَاتَّقُواْ فِتْنَةً لاَّ تُصِيبَنَّ الَّذِينَ ظَلَمُواْ مِنكُمْ خَآصَّةً وَاعْلَمُواْ أَنَّ اللّهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ  
"และพวกเจ้าจงระวังการลงโทษ ซึ่งมันจะไม่ประสบแก่บรรดาผู้อธรรมในหมู่พวกเจ้าโดยเฉพาะเท่านั้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้รุนแรงในการลงโทษ" (อัลอันฟาล : 25)

3.  การเลือกคบคน ต้องเลือกคบคนดี

4.  หะดีษนี้เป็นข่าวเร้นลับของท่านนบี  ว่ามันจะเกิดขึ้น และต้องเกิดขึ้น มุสลิมทุกคนต้องเชื่อและปฏิเสธไม่ได้ และท่านเคยบอกข่าวลักษณะนี้มาแล้วในเรื่องที่ ๆ ผ่าน ๆ มาก็ตรงทั้งนั้น เช่น เรื่องการเกิดไฟครั้งใหญ่ในนครมะดีนะฮฺ ก็เกิดขึ้นจริงในลักษณะภูเขาไฟระเบิด

 

อย่าเศร้า [09] : ทำดีกับคนอื่น..เปิดใจให้กว้าง



        ความสวยงามที่สวยสมชื่อ การมีชื่อเสียงที่มีเสมือนรูปลักษณ์ที่พบเห็นและความดีงามที่มีเสมือนรสชาติ คนที่ได้รับประโยชน์จากความสุขของมนุษย์คือคนที่ได้รับรู้สึกอันประเสริฐจากความสุขนี้ หยิบฉวยทันทีทันใดอย่างรวดเร็วเข้าสู่จิตของเขา จรรยาของเขา มโนธรรมของเขา จากนั้นเขาก็จะพบกับความโล่งใจ ผ่อนคลายและความรู้สึกสงบ

        เมื่อความเจ็บปวด ความทุกข์ระทมมาล้อมกรอบท่าน ก็จงให้สิ่งที่ดีแก่คนอื่น มอบความงดงามให้แก่เขา ท่านจะได้พบกับความโล่งใจและสบายใจ 

        ท่านให้แก่คนยากไร้ ช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่ กอบกู้ผู้ทุกข์ยาก ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย เยี่ยมเยียนผู้เจ็บป่วย ท่านก็จะได้พบกับความสุขที่จะมามอบให้แก่ท่านทั้งข้างหน้าและข้างหลังท่าน 

        แท้จริงแล้วการทำดีน้้นย่อมเกิดผลดีทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้ชายและคนซื้อ ให้สิ่งดีงามที่จิตใจ เปรียบเสมือนยาเพิ่มพูลที่จำหน่ายในร้านขายยาที่มีเภสัชกรที่จิตใจของเขาเต็มไปด้วยคุณธรรมและจิตกุศล

        การแจกจ่ายรอยยิ้มที่สดใสให้กับผู้ยากไร้ที่มีศีลธรรมถือเป็นการบริจาคทานที่ไม่สิ้นสุด แม้ว่าท่านจะพบกับพี่น้องของท่านมีเพียงเรายิ้ม(เท่านั้น)        

        การขมวดคิ้วถือว่าเป็นการประกาศสงครามภายในกับผู้อื่น ในความเป็นจริงจะเกิดสงครามระหว่างกันเมื่อไรก็ไม่อาจจะรู้ได้นอกจากผู้ในสิ่งเร้นลับเท่านั้น 

         การให้ดื่มน้ำจากฝ่ามือของหญิงโสเภณีแก่สุนัขที่หิวกระหายก็ทำให้หญิงคนนั้นได้เข้าสู่สวรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดท้องฟ้าและแผ่นดิน เพราะเจ้าของที่ให้บุญเป็นค่าตอบแทนนั้น คือ ผู้ทรงอภัย ผู้ได้รับการขอบคุณที่คนสวยงาม ทรงรักความสวยงามและทรงร่ำรวยการสรรเสริญ

          บรรดาผู้ถูกฝันร้ายคุกคาม มีความทุกข์ยาก รู้สึกความตื่นตระหนกและอยู่อย่างหวาดกลัว ก็จงพากันมาที่สวนแห่งความดี หมกมุ่นอยู่กับการสร้างความดีแก่ผู้อื่น ให้ ต้อนรับและปลอบโยน

        {وَمَا لِأَحَدٍ عِندَهُۥ مِن نِّعۡمَةٖ تُجۡزَىٰٓ ١٩  إِلَّا ٱبۡتِغَآءَ وَجۡهِ رَبِّهِ ٱلۡأَعۡلَىٰ ٢٠  وَلَسَوۡفَ يَرۡضَىٰ ٢١} 
        (19. และที่เขานั้นไม่มีบุญคุณแก่ผู้ใดที่บุญคุณนั้นจะถูกตอบแทน 20. นอกจากว่าเพื่อแสวงความโปรดปรานจากพระเจ้าของเขาผู้ทรงสูงส่งเท่านั้น 21. และเขาก็พึงพอใจ)



 .