วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2565

อัลบะยาน:ซูเราะฮฺ ยูซุฟ (บทนำ)


 بسم الله الرحمن الرحيم

ซูเราะฮฺ ยูซุฟ (เรื่องราวของนบียูซุฟ อะลัยฮิซซะลาม)

 มักกียะฮฺ (ประทานลงมาที่มักกะฮ)

ประกอบด้วย 111 อายะฮฺ

ช่วงเวลาประทานซูเราะฮฺนี้และฐานะของซูเราะฮฺ

            ซูเราะฮฺนี้เป็นหนึ่งในซูเราะฮฺที่อัลลอฮฺประทานลงมาให้แก่ท่านนบีมุฮำมัด(ศ็อลฯ) ในช่วงเวลาที่ท่านนบียังอยู่เมืองมักกะฮฺ และถูกประทานลงมาหลังจากซูเราะฮฺ ฮูด และก่อนซูเราะฮฺ อัรฺเราะอฺดุ ในปีที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)โศกเศร้ามากที่สุด คือ ปีที่ลุงที่ดูแลและปกต้องท่านมากที่สุดและภรรยาของท่าน คือ ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ อิบนะตุ คุไวลิด(ขออัลลอฮฺ โปรดปราณีและพึงพอใจท่าน)ซึ่งเป็นภรรยาที่ท่านรักและช่วยเหลือท่านได้เสียชีวิต 

            ซูเราะฮฺนี้ได้ถูกจัดเรียงลำดับในคัมภีร์อัลกุรอานที่เราใช้อ่านอยู่ปัจจุบัน(อัลมุศหัฟ อัลอุสมานีย์)อยู่ในลำดับที่ 12 จัดเรียงอยูระหว่างส่วน(ญุซ)ที่ 12 และ 13

ชื่อซูเราะฮฺ

            ซูเราะฮฺนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นซูเราะฮฺ ยูซุฟ เพราะเรื่องราวภายในซูเราะฮฺนี้จะกล่าวถึงความเป็นไปของนบียูซุฟ-อะลัยฮิซซะลาม- และถือว่าเป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของท่านนบีมะฮำมัด(ศ็อลฯ)ที่ท่านสามารถรับรู้เรื่องราวของนบียูซุฟอย่างละเอียด โดยที่ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยรู้มาก่อน 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2565

การศึกษาและจิตวิทยาในซูเราะฮฺยูซุฟ (5) ความกลัวและความอิจฉาริษยา

 


إِذْ قَالَ يُوسُفُ لِأَبِيهِ يَا أَبَتِ إِنِّي رَأَيْتُ أَحَدَ عَشَرَ كَوْكَبًا وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ رَأَيْتُهُمْ لِي سَاجِدِينَ (4)

قَالَ يَا بُنَيَّ لَا تَقْصُصْ رُؤْيَاكَ عَلَىٰ إِخْوَتِكَ فَيَكِيدُوا لَكَ كَيْدًا ۖ إِنَّ الشَّيْطَانَ لِلْإِنسَانِ عَدُوٌّ مُّبِينٌ (5) 


ความว่า :

4. จงรำลึกขณะที่ยูซุฟกล่าวแก่พ่อของเขาว่า โอ้พ่อจ๋า แท้จริงฉันได้ฝันเห็นดวงดาวสิบเอ็ดดวง และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ฉันฝันเห็นพวกมันสุญูดต่อฉัน
5. เขา (ยะอฺกูบ) กล่าวว่า โอ้ลูกรักเอ๋ย เจ้าอย่าเล่าความฝันของเจ้าแก่พี่น้องของเจ้า เพราะพวกเขาจะวางอุบายแก่เจ้าอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ชัดแจ้งกับมนุษย์

        อย่างที่ได้เล่ามาในตอนที่ 1 ยูซุฟ พ่อนำมาเลี้ยงในใช้ชีวิตอยุ่กับพี่ ๆ ต่างมารดา วันหนึ่งยูซุฟฟันประหลาดว่าเขาได้เห็นดวงดาว 11 ดวงพร้อมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แล้วมาเล่าให้บิดาฟัง
إِذْ قَالَ يُوسُفُ لِأَبِيهِ يَا أَبَتِ إِنِّي رَأَيْتُ أَحَدَ عَشَرَ كَوْكَبًا
 وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ رَأَيْتُهُمْ لِي سَاجِدِينَ (4)
(จงรำลึกขณะที่ยูซุฟกล่าวแก่พ่อของเขาว่า โอ้พ่อจ๋า แท้จริงฉันได้ฝันเห็นดวงดาวสิบเอ็ดดวง 
และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ฉันฝันเห็นพวกมันสุญูดต่อฉัน)(ยูซุฟ 12/4)
         แต่เนื่องจากว่าบิดาของยูซุฟเป็นถึงนบีที่อัลลอฮฺเลือก ทำให้ท่านสามารถที่จะทำนายฟันได้และท่านรู้ถึงอนาคตได้ ท่านจึงเตือกแก่ลูก
قَالَ يَا بُنَيَّ لَا تَقْصُصْ رُؤْيَاكَ عَلَىٰ إِخْوَتِكَ فَيَكِيدُوا لَكَ كَيْدًا ۖ 
إِنَّ الشَّيْطَانَ لِلْإِنسَانِ عَدُوٌّ مُّبِينٌ (5) 
(เขา (ยะอฺกูบ) กล่าวว่า โอ้ลูกรักเอ๋ย เจ้าอย่าเล่าความฝันของเจ้าแก่พี่น้องของเจ้า
 เพราะพวกเขาจะวางอุบายแก่เจ้าอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ชัดแจ้งกับมนุษย์)
        พ่อของยูซุฟเตือนยูซุฟไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่พี่น้องของเขา สิ่งที่ยูซุฟฝันนั้นบงบ่อกถึงความดีที่เขาจะได้รับในอนาคต อาจทำให้อารมณ์ส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดถูกไชฏอนยั่วยุให้ฟื้นขึ้นมาทำร้ายเขาได้    

การศึกษาและจิตวิทยาในซูเราะฮฺยูซุฟ (4) model และการเรียนรู้โดยการสังเกต

 


 

نَحْنُ نَقُصُّ عَلَيْكَ أَحْسَنَ الْقَصَصِ بِمَا أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ هَٰذَا الْقُرْآنَ وَإِن كُنتَ مِن قَبْلِهِ لَمِنَ الْغَافِلِينَ (3)

ความว่า :

3. เราจะเล่าเรื่องราวที่ดียิ่งแก่เจ้า ตามที่เราได้วะฮีอัลกุรอานนี้แก่เจ้า และหากว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ในหมู่ผู้ไม่รู้เรื่องราว

        เมื่อเราอ่านอัลกุรอานตั้งแต่บทหรือซูเราะฮฺแรกๆ เราจะพบได้อัลลอฮฺนำเสนอเรื่องราวของบุคคลยุคต่าง ๆ มากมาย อย่างซูเราะฮฺที่ 2 ที่มีชื่อ อัลบะเกาะเราะฮฺ ที่แปลว่า "วัวตัวเมีย" ก็เป็นเรื่องราวของนบีมูซา(หรือโมเสส) การเหตุการฆ่าวัวตัวเมียเพื่อสืบสวนคดีในกลุ่มของคนยิว และในแต่ละเรื่องราวที่อัลลอฮฺได้เล่ามาในอัลกุรอานนั้น เป็นบทบัญญัติและเป็นแบบอย่างหรือแม่แบบ(Model)แก่คนยุคหลัง 
        อัลเบิรต์  แบนดูรา (1925 - 2021) เสนอว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้คือการสังเกตแม่แบบ(Model) แล้วเลียนแบบแม่แบบนั้นเป็นพฤติกรรมใหม่สำหรับเขา ถึงกระนั้นก็ตามไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะแสดงทุกอย่างที่แม่แบบแสดงออกมา แต่จะขึ้นกับผลกรรมที่แม่แบบได้รับจากการกระทำนั้นและกระบวนการทางปัญญาของผู้เรียน ดังนั้นองค์ประกอบของการเรียนรู้แบนดุราเสนอว่ามี 3  ประการ คือ 
  1. แม่แบบในรูปพฤติกรรมต่างๆ(Behavioral Model)
  2. ผลกรรมจากพฤติกรรมของแม่แบบที่แม่แบบได้รับ (Consequences of the Modeled Behavior)
  3. กระบวนการทางปัญญาของผู้เรียน(Learner's Cognitive Process)
แม่แบบ(Model)

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565

การศึกษาและจิตวิทยาในซูเราะฮฺยูซุฟ (3) ชัดเจนและใช้ภาษาที่เหมาะสม

 



بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ

 الر ۚ تِلْكَ آيَاتُ الْكِتَابِ الْمُبِينِ (1)

إِنَّا أَنْزَلْنَاهُ قُرْآنًا عَرَبِيًّا لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ (2)

(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี

[1] อะลีฟ ลาม รออฺ เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง

[2] แท้จริงพวกเราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาเป็นภาษาอาหรับ หวังว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญาคิด)


        ชุดการศึกษาและจิตวิทยาในซูเราะฮฺยูซุฟนี้ บทที่แล้วเราได้คุยถึงการสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ และหันเหสติปัญญาของเขาสุ่เรื่องที่เราจะสอนแก่เขา ซึ่งในซูเราะฮฺนี้อัลลอฮฺใช้การใช้คำที่แปลกประหลาดที่พวกเขาไม่เคยได้ยิน คือ الر (อะลีฟ ลาม รออฺ) หลังจากนั้นอัลลอฮฺก็จะแจ้งถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในคัมภีร์นี้ ชัดเจน ชัดแจ้ง ไม่คลุ่มเครือ

        تِلْكَ آيَاتُ الْكِتَابِ الْمُبِينِ (เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง)

        เนื้อหาที่ครูจะสอนนักเรียนจะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ ในอายะฮฺนี้อุลามาอฺบางท่านบอกว่า ในอัลกุรอานมีบ่งบอกว่าอย่างไหนเป็นสิ่งที่ทำได้(หะลาล)และอย่างไหนที่ทำไม่ได้(หะรอม) และชี้แนะชัดเจนอย่างไหนที่เป็นทางน้ำที่ถูกต้องอย่างไหนเป็นการนำสู่ความมืดมนและหลงทาง 

        ฉะนั้นก่อนที่ครูจะสอนเด็ก ครูต้องมั่นใจก่อนเนื้อหานั้นไม่คลุมเครือ เมื่อเด็กได้เรียนรุ้แล้วเด็กตัดสินได้ว่าอันไหนควรทำอันไหนไม่ควรทำ และสื่อที่ครูจะใช้ต้องชัดเจนด้วย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือสื่ออื่นๆ

        จากนั้นอัลลอฮฺก็ได้ตรัสว่า

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

เทคนิคการสอนจากอัลกุรอาน(3) การเรียนรู้โดยการสังเกตุ




        ในการศึกษาหาว่ามนุษย์เรียนรู้ได้อย่างไร นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามศึกษาหารความรู้ในเรื่องนี้ต่าง ๆ นานา เช่น กลุ่มพฤติกรรมนิยมพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งเร้า(Stimulus)กับการตอบสนอง(Respond) หรือความสัมพันธ์ที่ตัวเองแสดงออกไปกับสิ่งที่ได้รับ และอื่นๆ ทำให้เกิดทฤษฎีการเรียนรู้มากมาย และแน่นอนทฤษฎีการเรียนรู้ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมานั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีขีดจำกัดเฉพาะ อาจจะถูกในบางจุดหรือบางมุมมอง แต่ก็มีข้อคำถามเกิดขึ้นในอีกหลายมุมมองที่ทำให้ต้องคิดและต้องศึกษาต่อไป แบนดูรานักจิตวิทยาชาวคานาดาก็เป็นคนหนึ่งที่พบขีดจำกัดของของทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนิยม คือ (Gredler, 1992:304)
        ทฤษฎีของพฤติกรรมนิยมจะศึกษาในสถานการณ์เฉพาะ คับแคบ ไม่สอดคล้องกับสภาพการเรียนรู้ในชีวิตจริง
        การศึกษาของกลุ่มพฤติกรรมนิยมส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ห้องทดลองที่จำกัด ไม่ได้กล่าวถึงการเรียนรู้เพื่อการแก้ปัญหาใหม่ของมนุษย์ในโลกกว้าง
        นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม จะพูดถึงการเรียนรู้จากการกระทำที่ได้รับโดยตรง(Direct Learning) จะไม่ค่อยคำนึงถึงพฤติกรรมที่ที่ผู้เรียนรู้จากการกระทำของผู้อื่น หรือสิ่งอื่น
        ด้วยข้อจำกัดที่กล่าวมานี้ทำให้แบนดูราได้ศึกษาการเรียนรู้ของมนุษย์ในสภาพธรรมชาติมากกว่าห้องทดลอง โดยเฉพาะการเรียนรู้จากการสังเกต(Observational Learning)

การศึกษาและจิตวิทยาในสูเราะฮฺยูซุฟ (2) สร้างแรงจูงใจ

 



بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ

 الر ۚ تِلْكَ آيَاتُ الْكِتَابِ الْمُبِينِ (1)

إِنَّا أَنْزَلْنَاهُ قُرْآنًا عَرَبِيًّا لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ (2)

(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี

[1] อะลีฟ ลาม รออฺ เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง

[2] แท้จริงพวกเราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาเป็นภาษาอาหรับ หวังว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญาคิด)

        ยูซุฟเป็นใครมากจากไหนผมได้พูดคุยกันแล้วในบันทึกก่อน และมีความสำคัญมากขนาบท(หรือซูเราะฮฺ)หนึ่งในอัลกุรอานได้ตั้งให้เป็นชื่อท่าน เรื่องราวในบทนี้จะกล่าวถึงท่าน ความหมายต่าง ๆ ของแต่ละอายะอฺหรือโองการในบทนี้บรรดาอุลามาอฺ(ผู้รอบรู้ในอิสลาม)ได้บรรยายไว้มากมาย ผมก็ได้ศึกษามาบ้างบวกกับความรู้ทางการศึกษาและจิตวิทยาที่ได้ศึกษามา จึงขอพูดในมิติที่เป็นทางการศึกษาและจิตวิทยา

        อายะฮฺหรือโองการแรกในบทหรือซูเราะฮฺนี้ พระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮฺจะกล่าวว่า ..

        الر อะลิฟ ลาม รออฺ

            เป็นตัวอักษรในภาษาอาหรับ 3 ตัว มาเชื่อมต่อกัน เวลาอ่านก็จะอ่านที่ละตัวโดยไม่ได้อ่านให้เชื่อมต่อกันหรืออาจกล่าวได้ว่ามันเป็นอักษรย่อกลุ่มหนึ่ง ความหมายของอักษรย่อนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถบอกเจาะจงได้ว่ามันคืออะไร และแปลว่าอยางไร เพราะท่านนบี(ศ็อลฯ)ศาสนฑูตของผู้ตรัสเองก็ไม่ได้บอกความหมายของอักษรย่อกลุ่มนี้ แม้ว่าระยะหลังจะมีบรรดาผู้รู้หลายคนให้ความหมายที่แตกต่างกัน เช่น อะลิฟ นั้นมาจากคำว่า อัลลอฮฺ ลาม มาจากคำว่า ละตีฟ(ที่อ่อนโยน) และรออฺ มาจากคำว่า อัรรอฮฺมาน(ผู้เมตตา) แต่นั้นก็เป็นการให้ความหมายของคนๆหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครรับรองเลยว่ามันถูกต้องแท้จริง

            ผู้รู้บางท่านบอกว่า นี้เป็นมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺประทานมาในอัลกุรอาน ก่อนหน้าที่อิสลามจะถูกประทานลงมาพวกคนอาหรับนิยมเจ้าบทเจ้ากลอนมากหรือที่เรียกว่าชิอิรฺ(شعر) ชอบเล่นคำ เล่นภาษา และพวกเขานับถือและเชื่อในสรรพสิ่งต่างๆ เช่น ต้นไม้ ท่อนไม้ หิน ดิน ทราย และอื่น ๆ มีอำนาจทั้งสิ้นแล้วแต่จะเชื่อ แม้กระทั่งอาหารการกินที่พวกเขาปั้น ๆ ห้เป็นรูปคนก็กราบไหว้บูชากัน

รูป..สื่อการสอนที่มุสลิมพึงระวัง

 


 

        วันนี้ขอพูดถึงอดีตนิดหน่อย .               

        เมื่อครั้งที่ผมเรียนอยู่ปีสุดท้ายของหลักสูตร B.Ed. in Science(Physics), King Saud University, Riyadh ประเทศซาอุดิอาราเบีย  ก็ต้องออกไปฝึกสอนเหมือนทุกคนที่เรียนหลักสูตรศึกษาศาสตร์ ผมเลือกสอนในโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย เพราะสะดวกในการเดินทางและไม่ยุ่งยากเหมือนโรงเรียนใหญ่ ที่สำคัญผมอยากเรียนรู้ระบบโรงเรียนของเขาทั้งระบบด้วย

        ผมสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น ม 1 นักเรียนในชั้นที่ผมสอนก็คล้าย ๆ กับนักเรียนชั้นอื่นๆ เป็นลักษณะของเด็กซาอุฯ ซน ดื้อ ต้องใช้พลังอย่างมากที่จะทำให้สนใจในบทเรียนที่เราสอน แต่ข้อดีของเขา คือ ไม่เป็นนักเรียนแบบอะไรก็ได้เหมือนเด็กไทย จะมีเสนอข้อคิดเห็นตลอด ถ้าถามอะไรพวกเขาจะแย่งตอบ ถูกบ้าง ผิดบ้าง แม้แต่เด็กที่ไม่เคยสนใจเรียนก็จะยกมือขอตอบ เลยทำให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ไม่ยากนัก

        วันหนึ่ง... ผมสอนในหัวข้อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นเรื่องยากมากเลยที่จะบอกชื่อสัตว์ต่างๆ ในให้พวกเขาที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย นึกภาพตามที่เราพูดถึง(แถมต้องเรียกชื่อสัตว์ต่างๆเหล่านั้นด้วยภาษาอาหรับด้วยยิ่งทำให้ผู้สอนมีปัญหามากขึ้น) ก็เลยให้งานพวกเขาทำโดยให้พวกเขาไปรวบรวมภาพสัตว์ต่างๆ แล้วมาแยกว่าอันไหนคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันไหนคือสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง และอันไหนที่ไม่ใช่ทั้งสอง..

เทคนิคการสอนจากหะดีษนบี(3) : ลองผิดลองถูก






การเรียนรู้ของมนุษย์โดยวิธีการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงมีมาพร้อมกับกำเนิดมนุษย์ และวิธีการสอนโดยใช้วิธีการลองผิดลองถูกได้ถูกนำมาใช้นานแล้วเช่นกัน และที่เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการนำมาใช้เมื่อ 1400 กว่าปีแล้ว ก็จากหะดีษนบี



อะบูหุร็อยเราะห์ ได้เล่าว่า ...

        มีชายคนหนึ่งเข้ามัสยิดและท่านนบี(ศอลฯ)นั่งอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของมัสยิด ชายคนนั้นก็ละหมาด หลังจากละหมาดเสร็จก็เข้าให้สลามท่านนบี(ศอลฯ) และท่านนบีก็กล่าวว่า فارجع فصل فإنك لم تصل (เจ้าจงกลับไปละหลาดเพราะเจ้ายังไม่ละหมาด) ชายคนนั้นก็กลับไปละหมาด เมื่อละหมาดเสร็จก็เข้าไปหาท่านนบี ท่านนบีกล่าวว่า فارجع فصل فإنك لم تصل (เจ้าจงกลับไปละหลาดเพราะเจ้ายังไม่ละหมาด) เป็นเช่นนี้จนครั้งที่สามชายคนนั้นก็กล่าวว่า.. ท่านรอซูลของอัลลอฮฺ สอนฉันเถิด... ท่านนบีก็สอนว่า เมื่อเจ้าลุกไปละหมาดเจ้าจงอาบน้ำละหมาด....

        จากหะดีษนี้ จะเห็นได้ว่าแทนที่ท่านนบี(ศอลฯ)จะสอนในทันที ท่านปล่อยให้ลูกศิษย์ของท่านทำเองก่อน เป็นการลองผิดลองถูก (Trial and Error หรือ المحاولة والخطأหรือการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง(Learning by doing)

        ในต้นศตวรรษที่ 20 มีนักการศึกษาและนักจิตวิทยาชาวสหรัฐ ชื่อ Edward Lee Thorndike (1874 – 1949)ได้ทดลองและได้อธิบายวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์วิธีนี้ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เรียกว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นด้วยการสร้างสิ่งเชื่อมโยงหรือพันธะ(Bond) ระหว่างสิ่งเร้า ( S ) กับการตอบสนอง( R )”  (S-R Bond Theory)





เทคนิคการสอนจากหะดีษนบี(2)

 

ภาพประกอบ ไม่เกี่ยวกับหะดีษ

การสร้างความพร้อม การรับรู้ การจูงใจ สร้างความคุ้นเคย(ขจัดความกลัวและความแคลงใจ) การเสริมแรง การสร้างบทบาทสมมุติ 

        คำสอนในอิสลามมีสองอย่างที่มุสลิมทุกคนปฏิเสธไม่ได้ คือ คำสอนที่มาจากอัลกุรอานกับคำสอนที่มาจากหะดีษศอฮีฮฺ(ถูกต้องเป็นที่ยอมรับ)

        หะดีษนบี คือ คำสอนของศาสดาหรือของนบีมูฮำหมัด จะมีในลักษณะที่แตกต่างกัน บางครั้งนบีจะสอนตรงๆ บางครั้งจะสอนโดยการ ทำให้ดู แม้การที่ท่านนิ่งเฉยก็เป็นแบบอย่างอย่างหนึ่ง

        มีหะดีษหนึ่งซึ่งรายงานโดยสาวกที่ใกล้ชิดท่าน คือ ท่านอุมะรฺ อิบนุ อัล-ค็อฏฏ็อบ โดยท่าน อุมะรฺได้เล่าว่า

        ในระหว่างที่พวกเรานั่งอยู่กับนบีในวันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าขาวมาก ผมดำสนิท และไม่มีร่องรอยของการเดินทาง พวกเราก็ไม่มีใครรู้จักชายคนนั้น จนกระทั่งเขามานั่งใกล้นบี ถึงขนาดเอาเข่าชนกัน และวางมือบนตัก(ลักษณะของคนพร้อมที่รับรู้) และถามนบีว่า

            “โอ้มุฮำหมัด จงบอกแก่ฉันเกี่ยวกับอิสลาม”

แม่ปูสอนลูกปู

 

แม่ไม่สามารถสอนลูกปูให้เดินตรงได้ ตราบใดที่แม่ปูยังเดินเป๋อยู่


              พฤติกรรมของเด็ก ทั้งที่ดีที่เราทุกคนชื่นชม และที่ไม่ดีที่เราทุกคนต่างหายหัวหรือบางคนขนาดถึงสาปแช่ง มันคือผลผลิตของผู้ใหญ่นั้นเอง มีน้อยคนนักที่จะโทษว่าเป็นสันดานของเด็ก หรือเป็นพฤติกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมอย่างที่คาร์ลจุงกล่าว แต่โดยทั้วไปแล้วจะยอมรับว่าเกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่ เพราะสังคม และสังคมแรกของเด็กคือ พ่อแม่
                

              ท่านนบีมูฮำหมัด(ศ็อลฯ) ศาสดาของชาวมุสลิม ซึ่งเกิดก่อนพันกว่าปี ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า

كُلُّ مَوْلُودٍ يُولَدُ علَى الفِطْرَةِ، فأبَوَاهُ يُهَوِّدَانِهِ، أوْ يُنَصِّرَانِهِ، أوْ يُمَجِّسَانِهِ، 
كَمَثَلِ البَهِيمَةِ تُنْتَجُ البَهِيمَةَ هلْ تَرَى فِيهَا جَدْعَاءَ

         ทุกคนที่เกิดมา จะเกิดมาบนฟิตเราะฮ(ตามธรรมชาติที่ถูกกำหนดมา) ดังนั้นบิดา มารดาของเขา เป็นผู้ที่ทำให้เขาเป็นยิว หรือเป็นนัศรอนีย์(คริสต์) หรือมะญูซี(ลัทธิบูชาไฟ) เหมือนสัตว์ที่ให้ลูกออกมาเจ้าเห็นว่ามันขาดวิ่นหรือเปล่า (อัลบุเคาะรีย์, 1385)

ครูกับภาษาที่ใช้กับนักเรียน

 





        ครูหรือมุอัลลิมถ้าเข้าใจง่าย ๆ หรือให้ความหมายง่าย ๆ ครูก็คือผู้สอน แต่โดยหน้าที่หลักของครู ครูคือผู้เปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กให้เป็นไปตามที่ประสงค์ ลักษณะการทำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของครู(หรือจะเรียกชื่อเป็นอื่น)ที่ใช้มาตั้งแต่แต่โบราณคือการสอนหรือบอกกล่าวให้ผู้เรียนได้รับรู้ และเมื่อผู้เรียนรู้ผู้เรียนก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปตามที่ได้เรียนรู้มา

        ครูนอกจากจะเป็นผู้นำสารที่พึงประสงค์ที่ครูได้รับมาหรือที่ครูมีอยู่ติดตัวมาถ่ายทอดไปยังผู้เรียนให้รับรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเขา และความสำเร็จของครูวัดได้จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน ถ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ครูประสงค์ได้มากเท่าใด ความสำเร็จของครูก็นับว่ามากเท่านั้น จึงนับได้ว่าครูที่มีประสิทธิภาพคือครูที่มีวิธีการสอนที่รับรองได้ว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้(สุรางค์ โคว์ตระกูล:2550) หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ส่วนนักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีหรือได้เร็วนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คุณสมบัติประจำตัวของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นความถนัด(Attitud) ความสามารถในการเข้าใจในสิ่งที่ครูสอน(Ability to Understand istruction) ความพยายาม(Perseverance) และโอกาสหรือระยะเวลาในการเรียนรู้ (John Carroll : 1963) ทั้งหมดนี้จะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนไม่มากก็น้อย

        การเป็นครูที่ดีนั้นไม่เพียงเฉพาะครูคนนั้นจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะสอน หรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ อย่างเพียงพอที่จะถ่ายทอดแก่คนอื่นได้ ครูที่ดีนั้นยังจะต้องทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด และแบบอย่างที่ดีที่สุดของครูหรือมุอัลลิมนั้นคือท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) โดยท่านได้บอกแก่พวกเราว่า

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565

เทคนิคการสอนจากอัลกุรอาน(1) พูดจากนุ่มนวลและยืนหยุ่น





พูดอย่างยืดหยุ่นและนุ่มนวล
"เจ้าทั้งสอง(มูซาและฮารูน) จงพูดกับเขา(ฟาโรห์) ด้วยคำพูดที่นุ่มนวล"


        ภาษาที่ครูใช้กับนักเรียนควรเป็อนอย่างไร นอกจากอยู่ที่ภาษาที่ต้องชัดแล้วสิ่งหนึ่งที่ครูทุกคนไม่ควรละเลย คือ ลักษณะการพูดคุย

        อัลลอฮฺได้ตรัสว่า แต่นบีมูซาและนบีฮารูน ว่า

﴿ فَقُولا لَهُ قَوْلاً لَّيِّناً ...﴾

        ความว่า : "เจ้าทั้งสอง(มูซาและฮารูน) จงพูดกับเขา(ฟาโรห์) ด้วยคำพูดที่นุ่มนวล" (ฏอฮา : 20/44)

        การกระทำของบรรดาเราะซูล ก็เป็นแบบอย่างแก่พวกเรา เมื่ออัลลอฮฺสั่งเราะซูลให้กระทำอย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งยกเว้นอะไรก็เหมือนกับว่าสั่งพวกเราทุกคนให้กระทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

        ขอเล่าเรื่องราวของนบีมูซอและนบีฮารูนย่อ ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจที่มาที่ไปของคำสั่งนี้

        นบีมูซาหรือที่บางคนเรียกว่าโมเสส เกิดในตระกูลบะนีอิสรออีล ซึ่งในปีที่มูซาเกิดนั้นโหรของจักรพรรดิฟีรเอาน์หรือฟาโรห์ทำนายว่าเด็กเกิดใหม่ในช่วงนั้นจะนำหายนะมาแก่ราชวงศ์ กษัตริย์ฟาโรห์ก็สั่งฆ่าเด็กชายที่เกิดใหม่ที่มาจากบะนีอิสรออีลทุกคน แต่มูซาสามารถเล็ดลอดสายตรวจของฟาโรห์ได้ และเกิดมาท่ามกลางความหวาดกลัวของญาติพี่น้อง จึงปล่อยให้ล่องลอยไปตามสายน้ำ เมื่อราชินีเห็นเด็กล่องลอยมากับสายน้ำเกิดชอบและรักที่จะเลี้ยง จึงนำเด็กมาเลี้ยงจนเติบใหญ่

        ในช่วงที่มูซายังเป็นทารกอยู่ กษัตริย์ฟาโรห์ต้องการที่จะทดสอบว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กประเสริฐจริงหรือไม่ โดยให้มูซาเลือกระหว่างผลองุ่นกับถ่านไฟแดง ๆ ด้วยความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ มูซาก็เลือกถ่านไฟที่กำลังลุกไหม้หยิบใส่ปากตัวเอง เป็นเหตุให้การพูดจาของมูซาไม่คล่องแคล่วเหมือนคนปกติ

จิตวิทยากับการศึกษาอิสลาม..1 (รูแย้ 2)

 


บางครั้งการเดินตามเขา เราเลือกทำในสิ่งดีๆ สิ่งที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาของเรา เราก็จะไม่สู่จุดอับ(รูแย้)ได้

          การศึกษามุสลิมหรืออาจจะกล่าวได้ว่าการศึกษาในโลกมุสลิม มุสลิมเองต้องยอมรับในความล้าหลัง ทั้งๆที่ความรู้ของมุสลิมที่มีอัลกุรอานและหะดีษเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับมวลมนุษย์ เป็นความจริงที่ไม่ได้เกิดจากการคิดที่เกิดจากปัญญามนุษย์หรือทฤษฎีที่รอวันเปลี่ยนแปลง  ในอดีตตำราการศึกษาในด้านต่างๆ ของมนุษยชาติทั้งทางโลกตะวันออกโดยเฉพาะทางโลกตะวันตก ก็ได้ยึดถือตำราของมุสลิมเป็นหลัก อย่างเช่นตำราเกี่ยวกับการแพทย์ได้ใช้หนังสือ อัลกอนูน (القانون) ของ อิบนุซีนา จนถึงศตวรรษที่ 14

          ด้านการศึกษาก็เช่นกัน ทั้งอัลกุรอานและหะดีษได้กล่าวถึงเกี่ยวกับการศึกษา เทคนิคการศึกษาในลักษณะต่างๆมากมาย รวมถึงจิตวิทยา การเรียนการสอน ผู้รู้หรืออุลามาอฺ อย่างเช่น อิมาม อัล-ฆอซาลี ก็ได้เขียนในเรื่องนี้ไว้อย่างกว้างขวาง แต่การศึกษาอิสลามยังเหยียบย่ำอยู่กับที่หรือกำลังเดินถอยหลัง

        ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ...?  เป็นคำถามที่มุสลิมทุกคนต้องถามและต้องแก้ไขอย่างรีบด่วน

        หลายคนได้พยายามปัดความรับผิดชอบของตัวเอง ด้วยการกล่าวโทษคนนั้นคนนี้ โดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากสร้างเจตคติที่ไม่ดีต่อคนๆนั้นหรือกลุ่มคนนั้นเพียงอย่างเดียว           

         การกล่าวถึงสาเหตุต้นต่อหรือผู้ที่ทำให้เกิดวิกฤติเช่นนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ แต่ถ้าเป็นการกล่าวถึงเพื่อรู้ที่มาที่ไป โดยเฉพาะเพื่อปลดปล่อยจากวังวนของผู้ไม่หวังดีต่อมุสลิมหรืออิสลาม

            นักจิตวิทยาท่านหนึ่งได้กล่าวว่า...

                ...โลกมุสลิมตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมของตะวันตกเป็นเวลานาน อำนาจทางทหารที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลามเข้ามาปกครองประเทศมุสลิม ได้พยายามบิดเบือนและวางโครงสร้างทางการศึกษาและทางสังคมในระยะยาว ปลูกฝังคนงานและเจ้าหน้าที่มุสลิมเห็นแก่วัตถุมากกว่าการทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ(อิคลาศ) เน้นการศึกษาในสายวิชาชีพและวิชาสามัญด้วยการให้ความสำคัญมากกว่าวิชาอิสลามหลายเท่า โรงเรียนที่สอนความรู้อิสลามถูกมองข้าม ไปสนับสนุนโรงเรียนสามัญที่อยู่ภายใต้นิ้วชี้ของพวกเขา ครูที่สอนโรงเรียนสามัญมีเงินเดือนสูงกว่าครูที่สอนที่โรงเรียนสอนศาสนา และแยกการศึกษาอิสลามออกจากการศึกษาทั่วไป เลยทำให้มุสลิมที่เรียนโรงเรียนสามัญห่างจากอิสลาม

จิตวิทยาในรูแย้ (1)

  


บางครั้งเราตามผู้รู้ เราคิดว่าถูก แต่ที่ไหนได้เรากำลังเดินตามบุคคลสู่จุดอับ หรือ ที่เรียกว่า รูแย้
        วันนี้ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาอิสลามเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆ ชื่อเดิมว่า “The Dilemma of Muslim Psychologist” (สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนักจิตวิทยามุสลิม)   และที่ผมอ่านนั้นเป็นฉบับแปลเป็นภาษามาเลย์

หนังสือเล่มนี้เดิมทีเป็นบทความในหัวข้อ นักจิตวิทยาในรูแย้ ที่ถูกนำเสนอในที่ประชุมผู้เชียวชาญด้านมานุษยวิทยาในอิสลาม (AMSS) ในสหรัฐอเมริกาและคานาดา ในปี ค.ศ.1975

หัวข้อ รูแย้ ที่ค่อนข้างแปลกนี้ มาจาก วจนหรือหะดีษนบี(ศ็อล) ที่รู้จักกันดี ที่ว่า

عن أبي هريرة قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : 
 لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ مَن قَبْلَكُمْ شِبْرًا بشِبْرٍ، وَذِرَاعًا بذِرَاعٍ، حتَّى لو سَلَكُوا جُحْرَ ضَبٍّ لَسَلَكْتُمُوهُ، قُلْنَا: يا رَسُولَ اللَّهِ، اليَهُودَ وَالنَّصَارَى؟ قالَ: فَمَنْ؟
ความว่า 
อะบูฮุร็อยเราะฮฺ ได้รายงานว่า ท่านรซูลุลอฮฺ กล่าวว่า พวกเจ้าจะยึดมั่นในการเดิมตามแนวทางขอคนก่อนหน้าพวกเจ้า ที่ละคืบ ทีละศอก จนกระทั่งแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปในรูแย้(ฎ็อบ) พวกเจ้าก็จะตามเข้าด้วย บรรดาเศาะฮาบะฮฺก็ถามว่า พวกนั้นคือ ยะฮูดและนะศอรอ (ยิวและคริสต์) ใช่ไหม ท่านก็ตอบว่า แล้วจะเป็นใครอีกเล่า (อัลบุคอรย์, 3456)   
        
        ในทุกวันนี้ไม่ว่าอะไรที่ฝรั่งเขาทำ เราจะเห็นดีเห็นงามไปหมด แม้แต่การรุกรานประเทศอื่นก็ยังเชื่อในข้ออ้างของเขา เห็นดีเห็นงามกับเขา ทฤษฎีต่างๆที่เราร่ำเรียนมาและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็มาจากเขา บางครั้งวัฒนธรรมหรือภูมิความรู้ที่ดีที่คนเก่าคนแก่ของเราได้สืบทอดกันมา เราละทิ้งและหันไปนิยมถือปฏิบัติตามที่เขาสั่งสอน ซึ่งหลายอย่าง และหลายครั้งที่การกระทำของเราเช่นนั้นนำพาเราสู่สภาพที่อับจน เราก็ยังคงตามเขาอีก คงไม่ต่างอะไรกับการอุปมาอุปมัยที่ว่า แม้นว่าเขาจะวิ่งหนีเข้าสู่รูแย้ ที่ทั้งเล็กทั้งอับ ขาดอากาศหายใจ เราก็ยินดีที่จะตามเขาเข้าไป บางคนอ้วนพีอยู่ในนั้นจนไม่สามารถกลับออกมาอีก บางคนอยากออกแต่ก็สายเสียแล้ว แต่หลายคนที่ยังคงรักและชอบสภาพในรูแย้เช่นนั้น

อิทธิพลกลุ่ม



การทำงานกลุ่มไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป และการทำงานคนเดียวก็จะขาดความหลากหลาย

        หลายครั้งหลายคราเราชอบทำงานกลุ่ม บางครั้งในการตัดสินความเราอาจจะหาทางออกโดยการปรึกษาหารือกันหลาย ๆ คน หรือที่เราเรียกว่า  brainstorming (ระดมความคิด) ซึ่งแน่นอนการกระทำเช่นมันจะได้ช่วยเหลือ หาทางออกที่ดีที่สุด ถ้าต้องการตัดสินความก็จะช่วยเหลือกันและกันได้ดีเสมอ ในการเรียนการสอนก็เช่นกัน บ่อยครั้งมากที่เราจะใช้การทำงานเป็นกลุ่ม นอกจากประหยัดเวลาในบางเรื่องแล้ว นักเรียนก็จะได้ช่วยเหลือกัน เพราะประสบการณ์และความคิดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าพวกเขาทำงานอย่างจริงจังและบริสุทธิ์ใจที่จะทำให้เกิดผลดี ผลงานที่ได้มาเราอาจจะได้เห็นของดี ๆ แปล ๆ และใหม่ ๆ ก็อาจเป็นได้

        แต่บางครั้งการทำงานเป็นกลุ่ม เราอาจจะได้ไม่เหมือนอย่างที่เราคาดหวังก็ได้ เพราะบางคนนั้นจะคล้อยตามคนอื่นแทนที่จะคิดเอง ในเรื่องอัลลอฮฺได้ตรัสว่า   

 

قُلْ إِنّمَآ أَعِظُكُمْ بِوَاحِدَةٍ أَن تَقُومُواْ لِلّهِ مَثْنَىَ وَفُرَادَىَ...

 

ความว่า จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันขอเตือนพวกท่านเพียงข้อเดียวว่า พวกท่านจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮฺ(ครั้งละ) สองคนและคนเดียว... (ซาบาอฺ 34/46)

 

อัลกุรฏบีย์ กล่าวว่า การยืนในที่นี้หมายถึงการยืนขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง

 

อิบนุกาษีร์ กล่าวว่า ยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสนองตอบความรู้สึกหรืออารมณ์ของตนเอง ดังนั้นให้ถามกันและกัน ตักเตือนกันและกัน

 

ชัยยิด กุฏุบ ได้เขียนในหนังสือ في ظلال القرآن   (ภายใต้ร่มเงาของอัลกุรอาน) ของท่านว่า ...ห่างไกลจากผลประโยชน์ วัตถุสิ่งของ  เสียงเรียกร้องต่างๆ และรวมถึงแรงจูงใจที่งอกเงยอยู่ในจิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ห่างไกลอัลลอฮฺ..  ให้ห่างไกลจากอิทธิของสิ่งแวดล้อมและอิทธิพลที่มีมาจากกลุ่ม

 ดังนั้นในการแสวงหาความรู้และความจริง อัลลอฮฺสั่งให้ทำโดย
  1. กระบวนกลุ่ม ซึ่งเป็นการรวบรวมและแลกเปลี่ยนคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือที่เราเรียกว่า ระดมความคิด Brain Storming)  
  2. เมื่อคิดร่วมกับเพื่อน ๆ แล้วก็ให้หันมาคิดแบบอิสระส่วนตัวด้วย เพราะในกระบวนการกลุ่มนั้นบางครั้งหรือบางคนอาจจะไม่เห็นด้วย หรือมีแนวคิดอื่นแต่ถูกอิทธิพลกลุ่มนำพาไป ก็จะคล้อยตามกลุ่ม หรือบางครั้งที่เราเรียกว่า มีการชี้นำโดยกลุ่มจนทำให้ไม่สามารถใช้ความบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในตัวเองบรรลุถึงสิ่งที่เป็นความจริงได้
                    

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565

หน้าที่ของครูในฐานะผู้รับมรดก

 




 หน้าที่ของครูในฐานะผู้รับมรดก

วันก่อนได้พูดคุยกับเพื่อนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ในวงสนทนานั้นได้ยกอายะฮฺอัลกุรอานอายะฮฺหนึ่ง ในซูเราะฮฺอัลญุมอะฮฺที่ว่า 

هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ (2)


(2)
พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งเราะซูล(ศาสนฑูต)ขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเอง เพื่อสาธยายอายาต(สัญญาณ)ต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงขัดเกลาพวกเขา และทรงสอนคัมภีร์และหิกมะฮฺ(วิทยปัญญา)แก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม (อัลญุมอะฮฺ  66/2)

        ก่อนที่เราจะมาดูความหมายโดยภาพรวมของอายะฮฺนี้แล้ว เรามาศึกษาในแต่ละคำที่อัลลอฮฺทรงใช้ในอายะฮฺนี้

  • เราะซูล (رَسول) คือ ฑูตของพระองค์ ผมใช้ในที่นี้ว่า ศาสนฑูต ณ ที่นี้หมายถึงมนุษย์คนหนึ่งที่อัลลอฮฺได้แต่งตั้งเขา ให้เขามาสั่งสอนมวลมนุษย์ เผยแผ่ศาสนาของพระองค์ (บางครั้งคำว่า เราะซูล นี้พระองค์ใช้แทนมะลาอิกะฮฺ สิ่งพระองค์ทรงสร้างอีกชนิดหนึ่งที่มารับใช้พระองค์)
  • เราะซูล นี้ บ้านเราจะติดปากเรียกว่า นบี และนบีของอัลลอฮฺนั้นมีมาก ภาระงานของนบีกับเราะซูลไม่เหมือนกัน บางครั้งหรือนบีบางท่านถูกสั่งในปรับตัวเองเขาให้เข้ากับสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ แต่เราะซูลนี้นอกจากต้องปรับแต่ตนเองแล้วตั้งสั่งสอนคนอื่นด้วย
  • อัลลอฮฺได้แต่งตั้งเราะซูลขึ้นคนหนึ่งในระหว่าง อัลอุมมี(الْأُمِّيِّينَ)หรือผู้ไม่รู้หนังสือ อิบนุกะษีรฺบอกว่าคือคนอาหรับ หมายถึงคนอาหรับก่อนหน้านี้ไม่มีคัมภีร์ใดๆสำหรับเขา ไม่เหมือนพวกนาศอรอ(คริสต์)หรือยิว ญะลาลีนบอกว่า คือ คนอาหรับและคนไม่รู้หนังสือ พวกเขาจะเขียนไม่ได้และอ่านไม่ออก ในที่นี้หมายถึงคนอาหรับและคนไม่รู้หนังสืออื่นๆ
  • แน่นอนคนที่ไม่รู้หนังสือคือคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือ เป็นหนังสือที่ถูกต้องเที่ยงตรงและมีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตให้มีความสุข หมายถึงหนังศาสนาที่สอนวิถีชีวิต คือ ศาสนาอิสลาม ดังนั้นคนที่ไม่รู้ศาสนาหรือไม่รู้ความจริง ทั้งหมดก็ร่วมอยู่ในผู้ไม่รู้หนังสือนี้ด้วย
  • หน้าที่ของเราะซูล คือ (يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ) สาธยายอายะฮฺและปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่มีอยุ่รอบ ๆ ตัว หรืออ่านคัมภีร์ของพระองค์และในสมัยเราก็คืออ่านอัลกุรอานให้มนุษย์(ผู้ไม่รู้)ฟังเข้าใจ เชื่อและตระหนัก

จิตวิทยา : มุสลิมจำเป็นต้องเรียนจิตวิทยาไหม

 



        มุสลิมจำเป็นต้องเรียนจิตวิทยาไหม

        คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมเคยถูกถามมานานแล้ว เลยทำให้ระยะหลังในช่วงแรกๆของการเรียนการสอนวิชาจิตวิทยากับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา(มหาวิทยาลัยฟาฏอนี) ผมจะถามนำนักศึกษาด้วยคำถามนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยได้รับคำตอบเท่าไร เห็นหลายคนกระสับกระส่ายที่จะตอบแต่ไม่ตอบ คิดว่าพวกเขากลัว กลัวว่าเมื่อตอบไปแล้วจะเป็นคำตอบที่ผิด บางคนอาจกลัวว่าถ้าเขาตอบผิดไปแล้วเขาอาจจะถูกมองไปว่า เขาเข้าใจอิสลามแบบผิดๆ ซึ่งความจริงแล้วจะตอบจำเป็นก็ถูกหรือผิดก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลและคำอธิบายที่เข้าใจเช่นนั้น

        อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอาน ว่า

الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلاَمَ دِيناً

        ความว่า “วันนี้ฉัน(อัลลอฮฺ)ได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าเสร็จสิ้นสมบูรณ์แก่พวกเจ้า และฉันได้ประทานความเมตตาของฉันแก่พวกเจ้าอย่างครบถ้วน และฉันยินยอมอิสลามเป็นศาสนาแก่พวกเจ้า(อัลมาอิดะห์ 5:/3)

        อัลกุรอานอายะฮฺนี้ ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้อ่านให้แก่บรรดามุสลิมฟังเมื่อครั้งที่ท่านทำฮัจญ์ครั้งแรกและสุดท้าย เป็นการประกาศแก่ชาวโลกทุกคนรู้ว่า “ศาสนา” ที่อัลลอฮฺประทานมาผ่านท่านนั้น ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว  ไม่จำเป็นต้องหาศาสนาอื่นมีเสริมแต่งหรือแต่งเติมอะไรอีกแล้ว

        ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจคำว่า “ศาสนา” ที่กล่าวในที่นี้ก่อน ในอายัตนี้ที่ผมแปลว่า “ศาสนา” นั้นผมแปลจากคำว่า “الدين : อัดดีน” ซึ่งแปลเป็นไทย(ตามที่เคยแปลมา)ว่า “ศาสนา” การตีความหมายศาสนาตรงนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเทียบกับคำศาสนาที่ได้บันทึกเขียนและแปลความหมายในพจนานุกรม แต่ต้องไปตีความตามที่บรรดาอุลามาอฺ(ผู้รู้ศาสนาอิสลาม)ได้ให้ความหมายไว้ และถ้าผมจะเขียนความเห็นของบรรดาอุลามาอฺเกี่ยวกับความหมายของคำนี้ จะเป็นการยาวเกินไป จึงขอสรุปสั้นๆ และให้ความหมายที่เข้าใจง่าย คือ อัดดีน หรือที่แปลว่าศาสนาในที่นี้ หมายถึงวิถีชีวิต ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงวิธีกราบไหว้บูชา แต่เป็นวิธีการดำรงชีวิตบนโลกนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย    

        ดังนั้น เมื่อศาสนาสมบูรณ์ก็หมายถึงวิธีชีวิตที่สมบูรณ์ และทำให้เข้าใจอีกว่า เมื่อเราเรียนศาสนาแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนสิ่งอื่นๆ อีก ยกเว้นวิชาชีพเฉพาะทาง

จิตวิทยาหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณใช่ไหม ?








        คำว่าจิตกับวิญญาณ บางคนตีความคำว่าวิญญาณ คือ จิต แล้วบางคนไปก็ตีความหมายวิญญาณตรงกับภาษาอาหรับที่ว่า รูฮฺ(روح) และรูฮฺในอีกความหมายหนึ่งในอัลกุรอานได้บอกอย่างชัดเจนแก่ท่านนนบีและเราทุกคนว่า


وَيَسْأَلُونَكَ عَنِ الرُّوحِ قُلِ الرُّوحُ مِنْ أَمْرِ رَبِّي وَمَا أُوتِيتُم مِّن الْعِلْمِ إِلاَّ قَلِيلاً   (الإسراء : 85)


        ความว่า : “พวกเขาจะถามเจ้า(โอ้มุฮัมมัด)เกี่ยวกับวิญญาณ จงกล่าวเถิด(ว่า)วิญญาณนั้นเป็นกิจการงานของพระเจ้าของฉัน และฉัน(อัลลอฮฺ)ไม่ได้ให้ความรู้แก่เจ้า เว้นแต่เล็กน้อยเท่านั้น (อัล-อิสรออฺ 17/65)

        ถ้าพูดถึง จิต ที่หมายถึง รูฮฺ ในแง่นี้แล้วเราไม่ต้องไปพูดต่ออีก เพราะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขยายไปถึงความจริงได้

        อิมาม อัลฆอซาลี ได้ให้ความหมายของคำว่า จิต วิญญาณ ใจ และปัญญา
(النفس والروح و القلب والعقل) ในความหมายที่คล้ายคลึงกัน จะมีความแตกต่างบ้างในรายละเอียด อย่างเช่น

        ท่านกล่าวว่า รูฮฺ(
ورح:วิญญาณ) เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เกิดขึ้นจากหัวใจ แพร่กระจ่ายสู่สมองและทั่วร่างกาย โดยผ่านเส้นเลือด เพื่อทำให้เกิดความพร้อมในการเคลื่อนไหวและการทำงาน

        ส่วนคำว่า นัฟสฺ(
نفس:จิต) เป็นความรู้สึกในทางที่ไม่ดี ที่มีอยู่ในสัตว์และตรงกันข้ามกับความคิดหรือการใช้ปัญญา (บ้านเราเรียกว่า นัฟสู หรือที่ผมเรียกว่า จิตใฝ่ต่ำ)

        โบราณจะไม่ใช้คำ จิตวิทยา(Psychology) แปลเป็น วิญญาณวิทยา กลุ่มคนที่พยายามแยกศาสนาออกจากหลักวิชาการ เพราะบางศาสนาได้ทำการดัดแปลงและปรุงแต่งศาสนาของตนเองตามที่ต้องการ ทำให้ในบางครั้งหลักวิชาการจึงเป็นเรื่องที่คัดค้านกับหลักศาสนาของพวกเขา วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์นี้เห็นว่า คำว่าวิญญาณมีความเข้าใจใกล้ไปทางศาสนา กาลต่อมาจึงคำว่า จิต แทน

        คุณสุภาพรรณ ณ บางช้าง(2526) ได้ให้ความหมายของจิตตามแนวพุทธ ว่า จิต หมายถึง ธรรมชาติที่รับรู้ อารมณ์ และ วิญญาณ หมายถึง สภาวะจิตที่เป็นการรับรู้ อารมณ์

        มุฮำหมัด กุฏุบ (1981) ได้กล่าวว่า วิญญาณ (รูฮฺ :
الروح) คือ อีกส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งอยู่คู่กับร่างกาย กิจกรรมของรูฮฺได้แก่ อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ และ ความดี ความชอบ ความเมตตา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความเป็นพี่น้องกัน ความรัก ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม     
        เราไม่สามารถศึกษาเรื่องจิตได้(ตามอายะฮฺอัลกุรอานที่ได้ยกมา) แต่เราสามารถที่จะศึกษากิจกรรมของวิญญาณได้ 

        บางคนเขาว่า วิญญาณ เป็นสิ่งหนึ่งที่สิงอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่บงการให้ร่างกายแสดงพฤติกรรมต่างๆ

        ปัจจุบัน จิตวิทยา เขาให้ความหมายว่า เป็นวิชาที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจัดอยู่ในสาขาวิชาพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) อย่างที่ มอร์แกน (Morgan,1971:4) เขากล่าวว่า Psychology is the science of human and animal behavior

        ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ ในอีกความเข้าใจหนึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกันและบางครั้งจะดูเหมือนว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

        สำคัญอยู่ที่ว่า จิตวิทยา คือ การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ทั้งภายนอกและภายใน และพฤติกรรมที่ว่านี้ เป็นตัวกำหนดให้ความสุขและทุกข์แก่เราทั้งโลกนี้และโลกหน้า



จิตวิทยา หมายถึง หิกมะฮฺ

 




        หิกมะฮฺ(حكمة) คือ อะไร และมีความสำคัญอย่างไร 

        อัลลอฮฺ ได้ตรัสในอัลกุรอาน อายะฮฺ ที่ 125 ซูเราะฮฺ อัน-นะหฺลิ (16) ว่า

ٱدۡعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِٱلۡحِكۡمَةِ وَٱلۡمَوۡعِظَةِ ٱلۡحَسَنَةِۖوَجَٰدِلۡهُم بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُۚ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعۡلَمُ بِمَن ضَلَّ عَن سَبِيلِهِۦ وَهُوَ أَعۡلَمُ بِٱلۡمُهۡتَدِينَ ١٢٥ 

        ความว่า :  (125)  จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าด้วยหิกมะฮฺ(วิทยปัญญา) และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่หลงจากทางของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง (อันนะหฺลิ 16/125)


คำว่าหิกมะฮฺตรงนี้ผมขอให้ความหมายที่หลากหลายตามความเห็นของผู้รู้(อุลามาอฺ)คนต่างๆ  เช่น

    • อิบนุญะรีร์ นักวิชาการมุสลิมที่เป็นที่ยอมรับคนหนึ่ง เขาบอกว่า หิกมะฮฺ คือ สอนด้วยอัลกุรอาน
    • อัลบุคอรีย์ นักรายงานหะดีษที่ทุกคนได้ยินแล้วไม่แคลงใจเลยที่จะยอมรับหะดีษที่เขารายงาน เขาบอกว่า อัลหิกมะฮฺ คือ การเลือกทำให้สิ่งที่ดีที่สุด แล้วดี และไม่นำสู่ความหายนะ
    • อัสสะอีดี นักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับอีกคนหนึ่ง บอกว่า หิกมะฮฺ หมายถึง การทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วสำคัญ ด้วยความเป็นมิตร์แลยืดหยุ่น
    • สุดท้ายที่ผมยกในที่นี้คื่อท่านบินบาซ นักวิชาซาอุฯ ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน เขาว่า หิกมะฮฺ หมายถึง การชีแจงความหมายด้วยวิธีการที่จูงใจ สามารถทำให้คนฟังนั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่รีบร้อนและไม่แข็งกร้าว
    • สรุปว่า.. ถ้าเป็นเรื่องการสอนการสอน ก็หมายถึง การทำให้การเรียนการสอนนั้นมีคุณภาพและผู้เรียนสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ครูสอนได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

        วันหนึ่งระหว่างมาทำงาน มีสถานีวิทยุแห่งหนึ่งเป็นเทปการสอนของ โต๊ะครูนิอับดุลอาซิ มุขมนตรีของรัฐกลันตัน ประเทศมาเลยเซีย ท่านได้ให้ความหมายในอายะฮฺนี้ ทำให้ผมมั่นใจในความเข้าใจของผมกับสิ่งที่ผมทำไป

        ท่านกล่าวว่า อายะฮฺนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เวลาจะสอนใคร โดยเฉพาะฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับเรา เราต้องสอนอย่างมีหิกมะฮฺ ท่านว่า คำว่า หิกมะฮฺ นี้ภาษามลายูก็ไม่ได้แปลอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่แล้วจะทับศัพท์ทันที แต่ก็มีบางคนให้ความหมายว่า يڠ بيجق سان ถ้าแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด ชาญฉลาดในที่นี้ท่านได้ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า จูงใจเขาให้เขารู้สึกที่จะพูดคุยกับเรา ให้เขาเข้าใจง่าย เช่น การยกน้ำให้เขาดื่มสักแก้ก็ยังดี

        ผมก็นึกได้ว่ามีพวกเราบางคนแปลคำว่าหิกมะฮฺเป็นภาษาไทยว่า วิทยปัญญา

        แต่หลังจากฟังคำอธิบายตรงนี้แล้วและจากความรู้ที่ผมได้ศึกษามา คำว่า หิกมะฮฺ ตรงนี้ถ้าจะแปลว่า จิตวิทยาก็ไม่ผิด นั้นหมายถึง หิกมะฮฺ หมายถึง จิตวิทยา หรืออาจจะกล่าวในอีกนัยหนึ่งว่า ใช้จิตวิทยาในการเรียนการสอน หมายถึง สอนอย่างมีหิกมะฮฺ

        والله أعلم

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2565

สำคัญที่จิต (2) : ความสำคัญของจิต


        จิต ถ้าเปิดดูตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2545 แล้วจะให้ความหมายว่า ใจ สิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด และนึก และโบราณจะเขียนเป็น จิตต

        จิตที่ผมกล่าวถึงนี้คือ ใจ แต่ไม่ใช่หัวใจที่เป็ยอวัยวะสำคัญที่มีอยู่ภายในตัวมนุษย์ที่ทำหน้าสูฉีดโลหิตเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่เป็นจิตที่เขาใช้กันในภาษาอังกฤษว่า mind บางคนว่าเป็นพลังงานอย่างหนี่งเรียกว่า พลังงานจิต บางคนว่าเป็นความรู้สึกนึกคิด อย่างทางพุทธศาสนาจะให้ความหมายของจิตว่า  จิตเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่รู้อารมณ์ โดยจิตเป็นผู้รู้ สิ่งที่รู้คืออารมณ์ ความรู้แจ้งในอารมณ์ต่าง ๆ ของจิต เกิดจากการที่ทวารทั้งหกของร่างกาย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีการกระทบกับสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ต่าง ๆ อันเป็นนามธรรม โดยมีระบบประสาทเป็นสื่อและปัจจัย (เรียกการกระทบนี้ว่า ผัสสะ) ทำให้จิตรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ โดย ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รับรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึกจินตนาการต่าง ๆ นานา

        แต่ถ้าเป็นจิตวิทยาแล้ว ในสายของกลุ่มพฤิตกรรมนิยมแล้วจะให้ความหมายว่า เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์  (science of behavior) แน่นอนกลุ่มนี้ศึกษาเฉพาะในสิ่งที่เป็นไปได้ สามารถสังเกตและตรวจสอบได้ และพฤติกรรมของมนุษย์นี้ที่เป็นผลต่อความเป็นอยู่ของเราทุกวันนี้

        เมื่อผมพูดถึง จิต ผมก็จะนึกถึงคำที่ใช้ในภาษาอาหรับเพราะเป็นภาษาหลักที่ทำให้เรารู้ความจริงที่มาจากต้นกำเนิดจริง คือ อัลกุรอานและหะดีษนบี จิตวิทยา ในภาษาอาหรับจะเรียกว่า อิลมุนนัฟซ(علم النفس) อิลมุน คือ ความรู้ และนัฟซฺ ผมก็แปลง่ายๆว่า จิต เพราะจะรู้สึกว่าครอบคลุมได้มากกว่าคำอื่น

        คำว่า นัฟซฺ (نفس) ซึ่งผมใช้ว่าจิตนี้ จะพบว่ามีกล่าวในอัลกุรอานทั้งหมด 295 ครั้ง ผิดกับเกี่ยวตัวเรือนร่างของมนุษย์ เช่น คำว่า بدن جسم หรือ جسد ที่แปลว่าร่างกายเป็นตัวตนของมนุษย์ อัลกุรอานจะกล่าวถึงเพียง 5 ครั้ง เท่านั้น  แน่นอนอัลกุรอานให้ จิต สำคัญกว่า ร่างกาย

  • อัลกุรอาน คือ คู่มือสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ความสุขสบายของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้เมื่อพฤติกรรมออกมาดีและเหมาะสม และบ่อเกิดพฤติกรรมทั้งมวลอยู่ที่ จิต อัลกุรอานถึงได้กล่าวย้ำเรื่องจิต
  • สิ่งแรกที่อิสลามใช้ให้คนที่รับในวิถีชีวิตแบบอิสลาม รับทั้งที่เป็นความเชื่อและการปฎิบัติ คือ เปลี่ยนแปลงจิต .. (กล่าวชะฮาดะห์)
  • ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
 ألَا وإنَّ في الجَسَدِ مُضْغَةً: إذَا صَلَحَتْ صَلَحَ الجَسَدُ كُلُّهُ، وإذَا فَسَدَتْ فَسَدَ الجَسَدُ كُلُّهُ، ألَا وهي القَلْبُ 
( البخاري : 52)

        ความว่า : “แท้จริงในร่างกายมนุษย์นั้นมีก้อนเลือด ถ้าก้อนเลือดนั้นดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดีด้วย และถ้ามันเลวร่างกายทุกส่วนก็จะเลวด้วยไม่ใช่หรือ ? ก้อนเลือดก้อนนั้นไม่ใช่ใจ(จิต)กระนั้นหรือ?” (อัลบุคอรี :  52)

       พฤติกรรมของมนุษย์เราจะดีหรือเลว อยู่ที่ จิตใจ