วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

ตัฟซีรฺอิบนุกะษีรฺ : หะดีษที่เกี่ยวกับซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ

 solah

ความเห็นที่เกี่ยวกับหะดีษที่เกี่ยวข้องซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ

          หนึ่ง : ซูเราะฮฺนี้ถูกเรียกว่า “เศาะลาฮฺ: الصَّلَاة (การละหมาด)” หมายถึงการอ่านในเวลาละหมาด ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ-ตะอาลา-

﴿وَلَا تَجۡهَرۡ بِصَلَاتِكَ وَلَا تُخَافِتۡ بِهَا وَٱبۡتَغِ بَيۡنَ ذَٰلِكَ سَبِيلاً﴾

(และอย่ายกเสียงดังในเวลาละหมาดของเจ้า และอย่าลดให้ค่อยเช่นกัน แต่จงแสวงหาทางระหว่างนั้น (ปานกลาง))(อัลอิซรออฺ 17:110)

        หมายถึงการอ่านของพวกเจ้า อย่างที่ได้อัลลอฮฺได้ตรัสถึงในหะดีษเศาะหีหฺที่รายงานโดยอิบนุอับบาซ ที่ว่า

" قَسَمْت الصَّلَاة بَيْنِي وَبَيْن عَبْدِي نِصْفَيْنِ فَنِصْفهَا لِي وَنِصْفهَا لِعَبْدِي وَلِعَبْدِي مَا سَأَلَ "

  (ฉันได้แบ่งการละหมาดระหว่างฉันกับบ่าวของฉันออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งสำหรับฉันและอีกครึ่งสำหรับบ่าวของฉัน และบ่าวของฉันได้ตามที่เขาขอ) (อัลบุคอรีย์ :7490, มุสลิม :446)

        จากนั้นได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งออกเป็นสองส่วนนี้ด้วยการอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ เป็นบ่งบอกถึงความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของการอ่านซูเราะฮฺนี้ในละหมาด เพราะการอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺในเวลาละหมาดนี้เป็นแกนหลัก(รุกน)สำคัญหลักหนึ่ง เพราะได้ให้ชื่อว่าเป็นอิบาดะฮฺ(การภักดี) ซึ่งความจริงแล้ว ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการละหมาดเท่านั้น คือ การอ่านซูเราะฮฺนี้

        บางครั้งการอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺนี้ หมายถึง การละหมาด อย่างที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿وَقُرۡءَانَ ٱلۡفَجۡرِۖ إِنَّ قُرۡءَانَ ٱلۡفَجۡرِ كَانَ مَشۡهُودًا﴾

(และการอ่านยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ) (อัลอิซรออฺ 17:78)

        หมายถึงละหมาดศุบฮฺ ตามที่ได้บันทึกในหะดีษเศาะหีหฺของอัลบุคอรีย์และมุสลิม เพราะในช่วงเช้านั้นเป็นเวลาที่มะลาอิกะฮฺที่บันทึกการงานในเวลากลางคืนและมะลาอิกะฮฺที่จะลงมาบันทึกในเวลากลางวันก็จะได้เห็นเป็นพยานยืนยันในการทำอิบาดัตนั้น

        ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นหลักฐานว่าจะต้องอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺในเวลาละหมาด และเป็นที่เห็นตรงกันของบรรดานักวิชาการศาสนา(อุลามาอฺ) แต่ที่เห็นแตกต่างกันนั้นอยู่ในส่วนที่เราจะพูดในส่วนที่สอง กล่าว คือ

        อัลกุรอานที่จะต้องอ่านในละหมาดนอกจากซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺสามารถทำได้ไหม? หรือว่าฟาติหะฮฺเท่านั้นเพียงพอแล้ว? หรือว่าอ่านอายาตอื่นก็ถือว่าเพียงพอ?

        คำตอบในคำถามนี้ ที่เป็นที่ยอมรับกันมีสองคำตอบ

        ตามทัศนะของอิมามอะบูหะนีฟะฮฺและบรรดาสาวกของท่านที่เห็นด้วยกับท่านและคนอื่นๆ เห็นกันว่า : ไม่จำเป็นที่ต้องเจาะจงว่าเป็นซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ อ่านอายาตอะไรก็ในอัลกุรอานถือว่าการละหมาดของคนๆนั้นได้ผลแล้ว ซึ่งอ้างอิงจากหลักฐานในคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

فَٱقۡرَءُواْ مَا تَيَسَّرَ مِنَ ٱلۡقُرۡءَانِۚ

(ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านอัลกุรอานตามแต่สะดวกเถิด) (อัลมุซัมมิล 73:20)

        และยืนยันจากหะดีษเศาะหีหฺของอีมามอัลบุคอรีและมุสลิม ที่รายงานโดยอะบูฮุร็อยเราะฮฺ ในเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งได้ละหมาดไม่ถูกต้อง ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ก็ได้กล่าวแก่ชายคนนั้นว่า

" إِذَا قُمْت إِلَى الصَّلَاة فَكَبِّرْ ثُمَّ اِقْرَأْ مَا تَيَسَّرَ مَعَك مِنْ الْقُرْآن "

(เมื่อเจ้าลุกละหมาดแล้ว ก็จงกล่าวตักบีรฺ แล้วอ่านอัลกุรอานที่เจ้าสะดวก) (อัลบุคอรีย์ :793, มุสลิม :397)

          พวกเขาเห็นว่า จากหะดีษนี้ ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ใช้ให้อ่านอัลกุรอานที่ง่ายๆและสะดวก ท่านไม่ได้กล่าวเจาะจงให้อ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ และไม่ได้เจาะจงให้อ่านอื่นด้วย ตามที่เราได้กล่าวมา

          ส่วนความเห็นที่สอง :  กำหนดเจาะจงว่าต้องอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺในเวลาละหมาด ถ้าละหมาดโดยไม่อ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ ถือว่าการละหมาดนั้นไม่เป็นผล ซึ่งความเห็นที่สองนี้เป็นความเห็นของอิมามมาลิก อิมามชาฟีอีย์ อิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัลและบรรดาอุลามาอฺสวนใหญ่ โดยอ้างจากหลักฐานหะดีษนบีที่ว่า

" مَنْ صَلَّى صَلَاة لَمْ يَقْرَأ فِيهَا بِأُمِّ الْقُرْآن فَهِيَ خِدَاج

     (ผู้ใดละหมาดโดยไม่อ่านอุมมุลกุรอาน(ซูเราะฮฺฟาติหะฮฺ)ในละหมาดนั้น การละหมาดนั้นไม่สมบูรณ์(คิดาจฺ))       

   คิดาจฺ(خِدَاج) หมายถึง ไม่สมบูรณ์(غَيْر تَمَام) ตามความหมายที่ได้มีการอธิบายในหะดีษ

           นอกจากหะดีษนี้แล้วบรรดาอุลามาอฺได้อ้างอิงหะดีษที่มีบันทึกในหนังสือหะดีษเศาะหีหฺทั้งสองของอิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิมที่รายงานจาก อัซซุฮรีย์ ซึ่งได้รับรายงานจาก มะหฺมูด อิบนุ อัรฺเราะบียอฺ ว่า อุบาดะฮฺ อิบนุ อัศศอมิต ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

" لَا صَلَاة لِمَنْ لَمْ يَقْرَأ بِفَاتِحَةِ الْكِتَاب "

    (ได้นับว่าเป็นการละหมาดสำหรับคนที่ไม่อ่านฟาติหะตุลกิตาบ(ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ))(อัลบุคอรีย์:756, มุสลิม:394)

          ในบันทึกหะดีษของ อิบนุ คุไซมะฮฺ และอิบนุ หิบบาน ว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺ(รอฎิฯ) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" لَا تُجْزِئ صَلَاة لَا يُقْرَأ فِيهَا بِأُمِّ الْقُرْآن "

     (การละหมาดจะไม่เป็นผล ถ้าการละหมาดนั้นไม่อ่านด้วยอุมมุลกุรอาน) (อิบนุ คุไซมะฮฺ:490, อิบนุ หิบบาน:457)

          หะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่มากมาย และความเห็นในเรื่องนี้ก็มีอยู่มากซึ่งเป็นเรื่องยาวที่เราจะกล่าวกันในที่นี้ และเราได้ชี้ให้เห็นในที่นี้ว่าพวกเขาได้นำความคิดเห็นนั้นมาจากไหน -ขออัลลอฮฺทรงเมตตาแก่พวกเขา-

          อิมามอัชชาฟีอีย์และกลุ่มนักวิชาการบางกลุ่มมีความเห็นว่า จะต้องอ่านในทุกร็อกอะฮฺที่ละหมาด แต่บางกลุ่มมีความเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะต้องอ่าน อัลหะซันและนักวิชาการศาสนาที่มาจากเมืองบัศเราะฮฺ กล่าวว่า ทุกครั้งที่ละหมาดจะต้องอ่านใน 1 ร็อกกะอะฮฺ อ้างถึงหะดีษที่ว่า

" لَا صَلَاة لِمَنْ لَمْ يَقْرَأ بِفَاتِحَةِ الْكِتَاب "

      (ได้นับว่าเป็นการละหมาดสำหรับคนที่ไม่อ่านฟาติหะตุลกิตาบ(ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ))(อัลบุคอรีย์:756, มุสลิม:394)

         อิมามอะบูหะนีฟะฮฺและลูกศิษย์ของท่าน อัษเษารีย์และเอาซาอีย์ เห็นว่า ไม่บังคับให้อ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ และเห็นว่าแม้จะอ่านอายาตอื่นที่ไม่ใช่อัลฟาติหะฮฺก็ถือว่าใช้ได้แล้ว อ้างจากอายะฮฺอัลกุรอาน ที่กล่าวมาข้างต้น

فَٱقۡرَءُواْ مَا تَيَسَّرَ مِنَ ٱلۡقُرۡءَانِۚ

(ดังนั้นพวกเจ้าจงอ่านอัลกุรอานตามแต่สะดวกเถิด) (อัลมุซัมมิล 73:20)

        ..วัลลอฮุอะอฺลัม

        อิบนุมาญะฮฺ ได้บันทึกจากหะดีษอะบูซุฟยาน อัซซะอฺดีย์ ว่า อะบูนัฎเราะฮฺ ได้รับรายงานจาก อะบูซะอีด ที่อ้างถึงนบี(ศ็อลฯ)(มัรฟูอฺ) ว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" لَا صَلَاة لِمَنْ لَمْ يَقْرَأ فِي كُلّ رَكْعَة بِالْحَمْدِ وَسُورَة فِي فَرِيضَة أَوْ غَيْرهَا "

(ไม่มีการละหมาดสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านอัลหัมดุ(ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ)และซูเราะฮฺอื่นในทุกร็อกะอะฮฺ ทั้นในการละหมาดฟัรฎูและละหมาดอื่นๆ) (อิบนุมาญะฮฺ:830)

        ความถูกต้องของความเห็นในเรื่องนี้ ได้พูดอย่างละเอียดในหนังสือ “อัลอะหฺกาม อัลกะบีร์: الْأَحْكَام الْكَبِير” ..วัลลอฮุอะอฺลัม

        ความเห็นที่สาม :  คนที่ละหมาดตามหลังอิมาม(มะมูม)จำเป็นจะต้องอ่านซูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺไหม ?       

        ในเรื่องนี้ บรรดาอุลามอฺมีความเห็นออกมาเป็น 3 ความเห็น

         หนึ่ง : มะมูมจะต้องอ่านเหมือนอย่างที่อิมามต้องอ่าน อ้างอิงความหมายทั่วไปจากหะดีษที่ได้กล่าวมา

         สอง : มะมูมไม่จำเป็นที่จะต้องอ่าน ไม่ว่าจะเป็นซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺหรืออายาตอื่นๆ และไม่ว่าเป็นการละหมาดที่อิมามอ่านออกเสียงดัง(ญะฮฺรียะฮฺ)หรือการละหมาดที่อ่านเสียงเบา(ซิรฺริย์ยะฮฺ)  อ้างอิงจากหะดีษที่บันทึกโดยอิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล ในหนังมุซนัดขอท่าน เป็นหะดีษได้รับรายงานจากญาบิรฺ อบนุ อับดุลลอฮฺ ว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" مَنْ كَانَ لَهُ إِمَام فَقِرَاءَة الْإِمَام لَهُ قِرَاءَة "

(ผู้ใดที่มีอิมามแล้ว การอ่านของอิมามคือการอ่านของเขา) (อะหฺมัด:3/339)

        แต่สายรายงานของหะดีษนี้อยู่ในระดับอ่อน(เฎาะอีฟ)

        อิมามมาลิกได้รายงานว่า วะหฺบิน อิบนุไกซาน ว่า คำพูดที่ว่านี้เป็นคำพูดของ ญาบิรฺเอง (อัลไบฮะกีย์:2/160)

        และพบอีกว่าหะดีษนี้ได้รายงานในหลายๆเส้นทาง แต่ทุกรายงานไม่เป็นที่ประจักษ์เลยว่ามาจากท่านนบี(ศ็อลฯ) .. วัลลอฮุอะอฺลัม

        สาม : มะมูมจะต้องอ่านในเวลาละหมาดที่อ่านเบาๆ(ซิรฺรียะฮฺ) อย่างที่ได้กล่าวมา และไม่จำเป็นต้องอ่านในเวลาละหมาดที่อ่านเสียงดัง(ญะฮรียะฮฺ) ยืนยันจากบันทึกในเศาะหีหฺมุสลิม ว่า อะบูมูซา อัลอัชอะรีย์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

" إِنَّمَا جُعِلَ الْإِمَام لِيُؤْتَمّ بِهِ فَإِذَا كَبَّرَ فَكَبِّرُوا وَإِذَا قَرَأَ فَأَنْصِتُوا "

(แท้จริงอิมามถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นผู้นำในการละหมาด เมื่อเขาตักบิรฺพวกเจ้าก็จงตักบีรฺ และเมื่อเขาอ่านพวกเจ้าก็จงฟังอย่างสงบ) จนจบหะดีษ (มุสลิม:414)

        บรรดานักบันทึกหะดีษคนอื่น เช่น อะบูดาวูด อัตติรมีซีย์ อันนะซาอีย์และอิบนุมาญะฮฺ ได้รายงานว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺ(รอฎิฯ)ได้กล่าว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" وَإِذَا قَرَأَ فَأَنْصِتُوا "

(เมื่ออิมามได้อ่านอัลกุรอาน พวกเจ้าก็จงเงียบฟังอย่างสงบ) (อะบูดาวูด:604, อันนะซาอีย์:2/141-142, อิบนุมาญะฮฺ:846)

        หะดีษนี้ มุสลิม อิบนุ อัลหัจญาจ ได้ยืนยันเหมือนกันว่าเป็นหะดีษที่มีความน่าเชื่อถือ(เศาะหีหฺ) เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าทั้งสองหะดีษทำให้สามารถกล่าวได้ว่าความเห็นของกลุ่มนี้ถูกต้องและเป็นความเห็นเก่าของอิมามชะฟีอีย์-ขออัลลอฮฺให้ความเมตตาแก่ท่าน- และเป็นรายงานหนึ่งของอิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล -ขออัลลอฮฺให้ความเมตตาแก่ท่าน-

        จุดประสงค์ของการพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่นี้ เพื่อให้เห็นว่า ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺนี้เป็นบทบัญญัติเฉพาะที่ไม่เกี่ยวข้องกับซูเราะฮฺอื่นๆ

       อัลหาฟิซ อะบูบักรฺ อัลบัซซารฺ ได้กล่าวว่า อิบรอฮีม อิบนุ ซะอัด อัลเญาฮะรีย์ ได้กล่าวแก่เราว่า เฆาะซฺซษน อิบนุ อุบฺ ได้กล่าวแก่เราว่า อะบูอัมรอน อัลเญานีย์ ได้รายงานว่า อะนัซ(รอฎิฯ)ได้กล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" إِذَا وَضَعْت جَنْبك عَلَى الْفِرَاش وَقَرَأْت فَاتِحَة الْكِتَاب وَقُلْ هُوَ اللَّه أَحَد فَقَدْ
أَمِنْت مِنْ كُلّ شَيْء إِلَّا الْمَوْت"

(เมื่อเจ้าวางสีข้างของเจ้าบนที่นอนแล้ว และเจ้าอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺและกุลฮุวัลลอฮฺ(ซูเราะฮฺอิคลาศ) เจ้าปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่างเว้นแต่ความตาย) (อัลบัซซารฺ:3109)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น