คำอรรถาธิบายเกี่ยวกับอัลอิซตะอาซะฮฺ
อัลลอฮฺ-ตะอาลา- ได้ตรัสว่า
﴿ خُذِ ٱلۡعَفۡوَ وَأۡمُرۡ بِٱلۡعُرۡفِ وَأَعۡرِضۡ عَنِ ٱلۡجَٰهِلِينَ
وَإِمَّا يَنزَغَنَّكَ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ نَزۡغَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِۚ إِنَّهُۥ سَمِيعٌ عَلِيمٌ ﴾
( เจ้า(มุหัมมัด) จงยึดถือไว้ซึ่งการอภัยและจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และจงผินหลัง ให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด และหากมีการยั่วยุใดๆ จากไชฏอน ที่กำลังยั่วยุเจ้าอยู่ ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้)(อัลอะอฺรอฟ 7:199-200)
และ
﴿ ٱدۡفَعۡ بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُ ٱلسَّيِّئَةَۚ نَحۡنُ أَعۡلَمُ بِمَا يَصِفُونَ
وَقُل رَّبِّ أَعُوذُ بِكَ مِنۡ هَمَزَٰتِ ٱلشَّيَٰطِينِ ﴾
(เจ้าจงปราบความชั่วด้วยสิ่งที่ดียิ่ง เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าวหา และจงกล่าวเถิด(มุหัมมัด) ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ให้พ้นจากเสียงกระซิบกระซาบของไชฏอน) (อัลมุมินูน 24:96-97)
และ
﴿ ٱدۡفَعۡ بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُ فَإِذَا ٱلَّذِي بَيۡنَكَ وَبَيۡنَهُۥ عَدَٰوَةٞ كَأَنَّهُۥ وَلِيٌّ حَمِيمٞ
وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ٱلَّذِينَ صَبَرُواْ وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ذُو حَظٍّ عَظِيمٖ
وَإِمَّا يَنزَغَنَّكَ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ نَزۡغَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِۖ إِنَّهُۥ هُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡعَلِيمُ ﴾
(เจ้าจงขับไล่ (ความชั่ว) ด้วยสิ่งที่มันดีกว่า แล้วเมื่อนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกันก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน และไม่มีผู้ใดได้รับมัน (คุณธรรมดังกล่าว) นอกจากบรรดาผู้อดทน และจะไม่มีผู้ใดได้รับมัน นอกจากผู้ที่มีโชคลาภอันใหญ่หลวง และหากว่าการยุแหย่ใดๆ จากไชฏอนมายั่วยุเจ้า ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้) (ฟุศศิลัต 41:34-36)
สามอายาตที่กล่าวมานี้ ไม่มีอายะฮฺที่สี่ที่มีความหมายเดียวกัน อัลลอฮฺได้บัญชาให้กระทำการดีกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ เพื่อที่จะให้พวกเขาหันกลับไปหาธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขา ให้ความรักและให้ความเป็นมิตรแก่เขา และอัลลอฮฺได้บัญชาให้ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้คุ้มครองจากศัตรูที่เป็นไชฏอน เพราะไชฏอนนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะทำกับเขาแล้ว มันไม่รับการกระทำดี มันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหายนะแก่ลูกหลานอาดัน(มนุษย์) เป็นเพราะความโกรธแค้นของมันที่มีต่ออาดัมที่เกิดขึ้นในอดีตกาล ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
﴿ يَٰبَنِيٓ ءَادَمَ لَا يَفۡتِنَنَّكُمُ ٱلشَّيۡطَٰنُ كَمَآ أَخۡرَجَ أَبَوَيۡكُم مِّنَ ٱلۡجَنَّةِ ﴾
(ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย จงอย่าให้ไชฏอนหลอกลวงพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว ) (อัลอะอฺร๊อฟ 7:27)
และพระองค์ตรัสว่า
﴿ إِنَّ ٱلشَّيۡطَٰنَ لَكُمۡ عَدُوّٞ فَٱتَّخِذُوهُ عَدُوًّاۚ إِنَّمَا يَدۡعُواْ حِزۡبَهُۥ لِيَكُونُواْ مِنۡ أَصۡحَٰبِ ٱلسَّعِيرِ ﴾
(มารไชฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริง มันเรียกร้องพลพรรคของมัน เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง) (ฟาฏิร 35:6)
﴿ أَفَتَتَّخِذُونَهُۥ وَذُرِّيَّتَهُۥٓ أَوۡلِيَآءَ مِن دُونِي وَهُمۡ لَكُمۡ عَدُوُّۢۚ بِئۡسَ لِلظَّٰلِمِينَ بَدَلاً﴾
(แล้วพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมัน เป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้ากระนั้นหรือหรือ ทั้ง ๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ ๆ ในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม) (อัลกะฮฺฟี 18:50)
ไชฏอนเคยสาบานกับอาดัมว่าตัวมันนั้นคือผู้หวังดีที่ให้คำตักเตือน แต่พวกมันโกหก และพวกมันกระทำอะไรบ้างกับเรา อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ قَالَ فَبِعِزَّتِكَ لَأُغۡوِيَنَّهُمۡ أَجۡمَعِينَ
إِلَّا عِبَادَكَ مِنۡهُمُ ٱلۡمُخۡلَصِينَ ﴾
(มันกล่าวว่า ดังนั้นด้วยพระอำนาจของพระองค์ท่าน แน่นอนข้าพระองค์ก็จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น) (ศ็อด 38:82-83)
และ
﴿ فَإِذَا قَرَأۡتَ ٱلۡقُرۡءَانَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ ٱلرَّجِيمِ
إِنَّهُۥ لَيۡسَ لَهُۥ سُلۡطَٰنٌ عَلَى ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَعَلَىٰ رَبِّهِمۡ يَتَوَكَّلُونَ
إِنَّمَا سُلۡطَٰنُهُۥ عَلَى ٱلَّذِينَ يَتَوَلَّوۡنَهُۥ وَٱلَّذِينَ هُم بِهِۦ مُشۡرِكُونَ ﴾
(ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง แท้จริงมันไม่มีอำนาจใดๆ เหนือบรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาได้มอบหมาย (การงาน) ต่อพระเจ้าของพวกเขา แท้จริงอำนาจของมันจะมีเหนือบรรดาผู้เป็นมิตรกับมัน และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้ตั้งภาคีกับพระองค์) (อันนะหฺลฺ 16:98-100)
นักอ่านอัลกุรอาน(กุรฺรออฺ)บางกลุ่มและคนอื่นๆ ได้กล่าวว่า การกล่าวตะเอาวุซ(อะอูซุบิลลาฮิมินะไชฏอนนิรฺเราะญีม) ให้กล่าวหลังจากอ่านอัลกุรอาน พวกเขายึดตามตามรูปแบบของประโยคในอายะฮฺนั้น และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกชื่นชมในตัวเองหลังจากได้กระทำอิบาดะฮฺ บุคคลที่มีความเห็นเช่นนี้ได้แก่ หัมซะฮฺ โดยที่เขาได้คัดลอกมาจาก อิบนุ กุลูก็อนและอะบู หาติม อัซซิญิซตานีย์ โดยเรื่องนี้รายงานโดย อะบูกอซิม ยูซุฟ อิบนุ อะลา อิบนุ ญุบบาเราะฮฺ อัลฮุซะลีย์ ในหนังสือ อัลอิยาดะฮฺ อัลกามิล และรายงานโดยอะบูฮุร็อยเราะฮฺ เช่นกัน ซึ่งเป็นการรายงานที่โดดเดียว(ฆอรีบ)
มุหัมมัด อิบนุ อุมัรฺ อัรรอซีย์ ได้คัดลงในหนังสืออรรถาธิบายของเขา จากการรายงานของ อิบนุ ซีรีน ในรายงานหนึ่งของเขา เขากล่าวว่า ความเห็นนี้เป็นคำพูดของอิบรอฮีม อันนะคะอีย์และอาวูด อิบนุ อาลีย์ อัลอัศบะฮานีย์ อัศศอฮิรีย์ และอัลกุรฏุบีย์ได้รายงานว่า อะบูบักรฺ อิบน อัลอะรอบีย์ ได้รายงานจากกลุ่มอุลามาอฺซึ่งได้รับรายงานจากอิมามมาลิก-เราะฮิมะฮุลลอฮฺ- ว่า “คนอ่านอัลกุรอานจะกล่าวตะเอาวุซหลังจากได้อ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ” ซึ่งอิบนุ อะรอบีย์ ได้กล่าวว่า ความเป็นนี้เป็นความเห็นที่โดดเดี่ยว(ฆอรีบ)
ความเห็นที่สาม เห็นว่า การกล่าวอิซติอาซะฮฺนี้ กล่าวในตอนเริ่มต้นการอ่านและตอนท้ายของการอ่าน เป็นการรวมสองหลักฐาน ความเห็นนี้บันทึกโดย อัรรอซีย์
แต่ที่เป็นที่ยอมรับของบรรดาอุลามาอฺส่วนใหญ่ คือ กล่าวอิซติอาซะฮฺก่อนการอ่านอัลกุรอาน เพื่อเป็นการผลักสิ่งที่จะมาสร้างความรู้สึกคลางแคลงใจที่จะมารบกวนการอ่าน ตามที่พวกเขาเข้าใจความหมายของอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า
﴿ فَإِذَا قَرَأۡتَ ٱلۡقُرۡءَانَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ ٱلرَّجِيمِ ﴾
(ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง) (อันนะหฺลิ 16:98)
หมายถึง เมื่อต้องการอ่านอัลกุรอาน เช่นเดียวอายะฮฺที่ว่า
﴿ إِذَا قُمۡتُمۡ إِلَى ٱلصَّلَوٰةِ فَٱغۡسِلُواْ وُجُوهَكُمۡ وَأَيۡدِيَكُمۡ ...﴾
(เมื่อพวกเจ้ายืนขึ้นจะไปละหมาด ก็จงล้างหน้าของพวกเข้า และมือของพวกเจ้า) จนจบอายะฮฺ (อัลมาอิดะฮฺ 5:6)
หมายถึง เมื่อพวกเจ้าต้องการละหมาด
หลักฐานในแนวคิดนี้คือหะดีษของเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) อิมามอะหฺมัด อิบนุหัมบัล-เราะหิมะฮุลลอฮฺ- ได้กล่าวว่า มุหัมมัด อิบนุ อัลหะซัน อิบนุ อะนัซ ได้รายงานแก่เราว่า ญะอฺฟัรฺ อิบนุ ซุไลมาน ได้รายงานแก่เราว่า ได้รับรายงานจากอะลี อิบนุ อะลี อัรริฟาอีย์ อัลยัซกุรีย์ จาก อะบู อัลมุตะวักกัล อันนาญีย์ ว่า อะบูซะอีด อัลคุดรีย์ ได้กล่าวว่า
“เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ลุกขึ้นละหมาดในเวลากลางคืน ท่านเปิดละหมาดของท่านแล้วตักบีรฺ จากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" سُبْحَانك اللَّهُمَّ وَبِحَمْدِك وَتَبَارَكَ اِسْمك وَتَعَالَى جَدّك وَلَا إِلَه غَيْرك "
(มหาบริสุทธิ์เป็นของพระองค์ท่าน โอ้อัลลออฺ และด้วยการสรรเสริญพระองค์ และบารอกะฮฺในพระนามของพระองค์ และความสูงส่งในพลังอำนาจของพระองค์ท่าน ไม่มีพระเจ้าองค์ใดนอกจากพระองค์ท่าน)
จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮฺกล่าวว่า
" لَا إِلَه إِلَّا اللَّه"
(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) สามครั้ง
หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่ง จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน))
หะดีษนี้มีการบันทึกโดยนักบันทึกหะดีษทั้ง 5 คน จากการรายงานของ ยะอฺฟัรฺ อิบน สุไลมาน ซึ่งรับมาจาก อะลี อิบนุ อะลี อัรริฟาอีย์ (อะหฺมัด:3/50, อะบูดาวูด:775 , อัตติรมีซีย์:242, อันนะซาอีย์:2/132, อิบนุมาญะฮฺ:804)
อัตติรมีซีย์ ได้กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษที่ได้รับความนิยมมากในเรื่องนี้ และได้ให้ความหมายของคำว่า هَمْز หมายถึงบีบรัดให้รู้สึกแคบ نَفْخ หมายถึง เย่อหยิง สำคัญตนว่าเป็นใหญ่(ตะกับบุร) และ نَفْث หมายถึง เป่าให้รู้สึกจะร่ายบทชะอีรฺ
อะบูดาวูดและอิบนุมาญะฮฺ ก็ได้รายงานหะดีษที่รายงานโดย ชุอฺบะฮฺ ซึ่งได้รับจาก อัมรู อิบนุ มุรฺเราะฮฺ จาก อาศิม อัลอะนะซีย์ จาก นาฟิอฺ อิบนุ ญุไบรฺ อัลมุฏอิม ว่า บิดาของเขาได้กล่าวว่า
“ฉันได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) เมื่อท่านเข้าละหมาด ท่านจะกล่าวว่า
" اللَّه أَكْبَر كَبِيرًا " (อัลลอฮุอักบัรฺ กะบีรอ:อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) สามครั้ง " الْحَمْد لِلَّهِ كَثِيرًا " (อัลหัมดุลิลลาฮิกะษีรอ:บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺที่ยิ่งใหญ่) สามครั้ง " سُبْحَان اللَّه بُكْرَة وَأَصِيلًا " (ซุบหานัลลอฮิบุกรอตันวะอาศีลา:มหาบริสุทธิเป็นของอัลลอฮฺทั้งเช้าและเย็น) สามครั้ง จากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน จากไชฏอน จากความคับแคบ จากการพ่นและเป่าของมัน)
อุมัรฺ กล่าวว่า هَمْز หมายถึง คับแคบ الْكِبْر หมายถึง เย่อหยิ่ง และ نَفْث หมายถึง การร่ายบทชะอีรฺ (อะบูดาวูด:764, อิบนุมาญะฮฺ:807, อิบนุหิบบาน:443)
อิบนุมาญะฮฺ กล่าวว่า อะลี อิบนุ อันมุนซัรฺ ได้บอกแก่เราว่า อิบนุฟูไฎลฺ ได้บอกแก่เราว่า อะฏออฺ อิบนุ อัซซาอิบ ได้รับรายงานจาก อับดุรเราะฮฺมาน อัซซุลมา ว่า อิบนุ มัซอูด ได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่ง จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน))
และเขาได้กล่าวอีกว่า هَمْز หมายถึงบีบรัดให้รู้สึกแคบ نَفْخ หมายถึง เย่อหยิง สำคัญตนว่าเป็นใหญ่(ตะกับบุร) และ نَفْث หมายถึง เป่าให้รู้สึกจะร่ายบทชะอีรฺ (อิบนุมาญะฮฺ:808, อิบนุคุไซมะฮ:472)
อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า อิซหาก อิบนุ ยูซุฟ ได้กล่าวแก่เราว่า ชะรีก ได้กล่าวแก่เราว่า ได้รับรายงานจาก ยะอฺลา อิบนุ อะฏออฺ ว่า ชายคนหนึ่งได้บอกแก่เขาว่า เขาได้ยิน อุมามะฮฺ อัลบาฮิลีย์ กล่าวว่า
“เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ยืนละหมาด ท่านจะกล่าว ตักบีรฺ 3 ครั้ง แล้วท่านจะกล่าว
لَا إِلَه إِلَّا اللَّه (ไม่มีเจ้าองค์ใดนอกจากอัลลอฮฺ) 3 ครั้ง และ
وَسُبْحَان اللَّه بِحَمْدِهِ (และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮฺและการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์) 3 ครั้ง จากนั้นท่านก็กล่าว
" أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้จากไชฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน)) (อะหฺมัด:5/253)
อัลหาฟิซ อะบูยะอฺลา อะหฺมัด อิบนุ อะลีย์ อิบนุ อัลมุษันนา อัลเมาศิลีย์ ได้กล่าวในหนังสือมัซนัดของเขาว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ อิบนุ อะบาน อัลคูฟีย์ ได้กล่าวแก่ฉันว่า อะลีย์ อิบนุ ฮิชาม อิบนุ อัลบะรีด จาก อิบนุ ยะซีด อิบนุ ซียาด จาก อับดุลมะลิก อิบนุ อุไมรฺ จาก อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบู ไลลา ว่า อุไบ อิบุ กะอับ(ร็อฎิฯ) ได้กล่าวว่า
“ชายสองคนอยู่กับทานนบี(ศ็อลฯ) คนหนึ่งไปจับจมูกอีกคนหนึ่ง ทำให้รู้สึกโกรธ ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า
" إِنِّي لَأَعْلَم شَيْئًا لَوْ قَالَهُ لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِد : أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم""
(ฉันจะสอนสิ่งหนึ่ง ถ้ากล่าวในสิ่งนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยู่กับเจ้าก็จะหายไป คือ (กล่าว) อะอูซูบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรฺเราะญีม(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง))
อันนะซาอีย์ ได้บันทึกหะดีษนี้เช่นกัน บันทึกลงในหนังสือ “อัลเยามวัลไลละฮฺ” ซึ่งได้รับรายงานจาก ยูซุฟ อับนุ อีซา อัลมัรฺวะซีย์ จาก อัลฟัฎลฺ อิบนุ มูซา จาก ยาซีด อิบนุ ซียาด อิบนุ อะบู อัลยะอฺดียะฮ (อันนะซาอีย์:10223)
อิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล ก็ได้บันทึกหะดีษนี้เช่นกัน จากรายงานของ อะบูซะอีด ซึ่งได้รับรายงานจาก ซาอิดะฮฺ และอะบูดาวูด จาก ยูซุฟ อิบนุ มูซา จาก ญะรีรฺ อิบนุ อับดุลหะมีด
อัตติรมีซีย์และอันนะซาอีย์ในหนังสือ อัลเยามฺวัลไลละฮฺ จาก บุนดารฺ จาก อะบูมะหฺดีย์ จาก อัษเษารีย์
อันนะซาอีย์ ก็ได้รายงานจากหะดีษที่รายงานโดย ซาอิดะฮฺ อิบนุ กะดามะฮฺ ซึ่งทั้งสามได้รับรายงานจาก อับดุลมะลิก อิบนุ อุไมร์ จาก อับดุริเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ว่า มุอาซ อิบนุ ญะบัล(รอฎิฯ)ได้กล่าว่า
“ชายหนุ่มสองคนทะเลาะกันต่อหน้านบี(ศ็อลฯ) ทำให้คนหนึ่งโกรธมาก จนทำให้ฉันรู้สึกว่าจมูกของชายคนหนึ่งนั้นสั่นเพราะความโกรธที่รุนแรง ท่านนบี(ศ็อลฯ)จึงได้กล่าวว่า
" إِنِّي لَأَعْلَم كَلِمَة لَوْ قَالَهَا لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِد مِنْ الْغَضَب "
(ฉันจะสอนคำๆหนึ่ง ถ้ากล่าวคำนี้ออกไปแล้ว สิ่งที่อยู่กับเขาเพราะความโกรธนั้นจะหายไป)
เขาถามว่า “อะไรครับท่านเราะซูลุลลอฮฺ”
ท่านนบี(ศ็อลฯ)ตอบว่า
" يَقُول اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذ بِك مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم "
(กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงฉันขอคุ้มครองต่อพระองค์จากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)
ผู้รายงานหะดีษกล่าวว่า จากนั้นมุอาซได้ใช้ให้ชายคนนั้นกล่าวคำที่ท่านนบีสอน แต่เขาปฏิเสธที่จะกล่าว เลยทำให้ความโกรธของเขาได้เพิ่มยิ่งขึ้น”
(อะหฺมัด:5/244, อะบูดาวูด:4780, อัตติรมีซีย์:3452, อันนะซาอีย์:10221,10222)
บทหะดีษยกมานี้เป็นบทหะดีษที่บันทึกโดยอะบูดาวูด
อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษมุรซัล(อ้างอิงถึงนบี) เพราะอับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ไม่เคยพบกับมุอาซ อิบนุ ญะบัล เพราะมุอาซเสียชีวติก่อนปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 20
ฉัน(อิบนุกะษีรฺ)ว่า เป็นไปได้ที่อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ได้ยินหะดีษนี้จาก อุไบ อิบนุ กะอับ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว และเขาได้รับจากมุอาซ อิบนุ ญะบัล และเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เศาะหาบะฮฺนบี(รอฎิฯ)เห็นแค่เพียงคนเดียว
อิมามอัลบุคอรีย์ กล่าวว่า อุษมาน อิบนุ อะบูไชบะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ญะรีรฺ ได้บอกแก่เราว่า อัลอะมัช ได้รายงานว่า จาก อะดีย์ อิบนุ ษาบิต ได้กล่าวว่า สุไลมาน อิบนุ ศุร็อด(รอฎิฯ) ได้กล่าวว่า
" اِسْتَبَّ رَجُلَانِ عِنْد النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَنَحْنُ عِنْده جُلُوس فَأَحَدهمَا يَسُبّ صَاحِبه مُغْضَبًا قَدْ اِحْمَرَّ وَجْهه فَقَالَ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " إِنِّي لَأَعْلَم كَلِمَة لَوْ قَالَهَا لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِدهُ لَوْ قَالَ أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم" فَقَالُوا لِلرَّجُلِ : أَلَا تَسْمَع مَا يَقُول رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : إِنِّي لَسْت بِمَجْنُونٍ "
(ชายสองคนทะเลาะกันต่อหน้าท่านนบี(ศ็อลฯ) และพวกเราก็อยู่กับท่าน ชายคนหนึ่งนั่งด่าทออีกคนด้วยความโกรธจนหน้าแดง แล้วท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าว “ฉันจะสอนคำๆหนึ่ง ถ้ากล่าวคำนี้ออกไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่กับเขา เมื่อเขากล่วว่า أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم :อะอูซูบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรฺเราะญีม(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)” บรรดาเศาะหาบะฮฺที่อยู่กับนบีตอนนั้นกล่าวแก่ชายคนนั้นว่า “เจ้าไม่ได้ยินหรือท่านเราะซูลุลลอฮฺกล่าวอะไร” ชายคนนั้นตอบว่า “ฉันไม่ได้บ้า”)
อิมามอัลบุคอรีย์ อิมามมุสลิม อะบูดาวูดและอันนะซาอีย์ ได้บันทึกหะดีษนี้จากการรายงานหลายเส้นทางที่ได้มาจากการรายงานของอัลอะอฺมัชเช่นกัน (อัลบุคอรีย์:6115, มุสลิม:2610, อะบูดาวูด:4781, อันนะซาอีย์:10224,10225)
หะดีษที่เกี่ยวกับการอ่านอิซตะอาซะฮฺนี้มีมากมาย เป็นเรื่องยาวที่จะกล่าวในที่นี้ และ ที่ได้กล่าวถึงในเรื่องนี้ในหนังสือ อัลอัซการฺและฟะฎออิลอะอฺมาล วัลลอฮุอะอฺลัม
มีรานงานว่า มะลาอิกะฮฺญิบรีล-อะลัยฮิซซะลาม- ครั้งที่ท่านได้นำอัลกุรอานที่ประทานแก่นบีมุหัมมัด(ศ็อลฯْ)ครั้งแรกนั้น ท่านได้กล่าวว่า
"โอ้มุหัมมัด จงกล่าวอิซตะอิซ(ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ)" ท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็ได้กล่าวว่า " أَسْتَعِيذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم (ฉันขอความคุ้มครองจากผู้ทรางได้ยินที่รอบรู้ให้ห่างไกลจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)"
แล้วญิบรีลก็กล่าวว่า
"จงกล่าว บิซมิลลาฮิรฺเราะฮฺมานิรฺเราะฮีม(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปราณีเสมอ)" แล่วท่านก็กล่าวต่ออีกว่า “ قۡرَأۡ بِٱسۡمِ رَبِّكَ ٱلَّذِي خَلَقَ (จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด)”
อับดุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า มันเป็นซูเราะฮฺแรกที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาแก่มุหัมมัด(ศ็อลฯ) โดยผ่านการกล่าวของญิบรีล
รายงานของหะดีษนี้เป็นรายงานที่แปลก โดดเดียว เรายกมากล่าวในที่นี้เพื่อในรู้เท่านั้น เพราะรายงานของหะดีษนี้อยู่ในระดับที่อ่าน เฎาะอีฟและอินกิฏออฺ .. วัลลอฮุอะอฺลัม
[ปะเด็นปัญหา]
อุลามาอฺส่วนใหญ่ได้เห็นพ้องกันว่า การกล่าว อิซติอาซะฮฺ นี้เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ทำ ไม่ใช่สิ่งที่บังคับที่ต้องทำ และเมื่อไม่ทำก็จะไม่ถือว่ามีความผิด
ฟัครุดดีน ได้เล่าว่า อะฏออฺ อิบนุอะบีรอบาหฺ ได้รายงานว่า วาญิบที่จะต้องอ่านในละหมาดและนอกเวลาละหมาดนั้นให้กล่าวเมื่อที่จะอ่านอัลกุรอาน
อิบนุซีรีนกล่าวว่า กล่าวตะเอาวุซครั้งเดียวในชีวิตก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การเป็นวาญิบที่จะต้องกล่าวนั้นหมดไป
ฟัครุดดีนได้อ้างหลักฐานจากอะฏออฺ จากอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า فَٱسۡتَعِذۡ (ก็จงขอความคุ้มครอง) เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นสิ่งที่ใช้ให้ทำ เป็นสิ่งที่นบี(ศ็อลฯ)ปฏิบัติเป็นจำประจำ เพราะเป็นการขอความคุ้มครองให้ห่างไกลจากความชั่วของไชฏอน และสิ่งที่ต้องทำนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้นอกจากได้ขอให้ห่างไกลจากไชฏอน การกล่าวตะเอาวุซขอห่างไกลจากไซฏอนจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ(วาญิบ) เพราะการกล่าวอิซติอาซะฮฺเป็นสิ่งที่ป้องการไม่เกิดความเสี่ยงและการป้องกันนี้ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งทีเป็นวาญิบที่ต้องทำ
อุลามาอฺบางคนกล่าวว่า การกล่าวอิซติอาซะฮฺนี้เป็นสิ่งที่วาญิบที่นบี(ศ็อลฯ)จะต้องทำแต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประชาชาติของนบีต้องทำ
และมีรายงานว่า อิมามมาลิก(รอฎิฯ) ได้กล่าว ตะเอาวุซ ในละหมาดที่เป้นฟัรฎูแต่ท่านจะอ่านในละหมาดซุนนะฮฺในคืนรอมฎอนคืนแรก
[ปะเด็นปัญหา]
อิมาม อัชชาฟิอีย์ ได้กล่าวในหนังสืออัลอิมลาอฺว่า การกล่าวตะเอาวุซ ต้องกล่าวด้วยเสียงดัง แต่ถ้าจะกล่าวเบาๆก็ไม่ถือว่าผิดอะไร และท่านได้กล่าวในหนังสือ อัลอุม ว่า ให้เลือก เพราะ อิบนุอุมัรฺ จะกล่าวอย่างเงียบๆและอะบูฮุร็อยเราะฮฺ จะกล่าวด้วยเสียงดัง และอิมามอัชชาฟิอีย์มีความเห็นต่างกับการการกล่าวตะเอาวุซในการละหมาดในร็อกะอะฮฺอื่นที่ไม่ใชร็อกกะอะฮฺแรก จะยังคงเป็นที่ส่งเสริม(ซุนนะฮฺ)ให้กล่าวหรือไม่ ซึ่งมีสองความเห็นและความเห็นที่ดีที่สุดคือ ในร็อกะอะฮฺอื่นๆนั้นไม่เป็นส่งเสริม(ซุนนะฮฺ)ให้กล่าว.. วัลลอฮุอะอฺลัม
เมื่อคนกล่าวตะเอาวุซว่า أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم อิมามอัชชาฟีอีย์และอิมามอะบูหะนีฟะฮฺมีความเห็นว่าเพียงพอแล้ว บางคนได้เพิ่มเป็น أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم แต่คนอื่นเช่น เอาซาอีย์และอัษเษารีย์ได้เพิ่มเป็น أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم إِنَّ اللَّه هُوَ السَّمِيع الْعَلِيم บางคนกล่าวว่าควรอ่าน أَسْتَعِيذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم ตามคำบัญชาในอายะฮฺอัลกุรอานและหะดีษที่รายงานโดยอัฎเฎาะหากจากรายงานของอิบนุอับบาซตามที่ได้กล่าวมา และหะดีษเศาะหีหฺอื่นๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วเช่นกัน .. วัลลอฮุอะอฺลัม
[ปะเด็นปัญหา]
การอ่านอิซติอาซะฮฺในละหมาดเป็นการอ่านเพื่ออ่านอัลกุรอานเท่านั้น เป็นความเห็นของอิมามอะบูหะนีฟะฮฺและอิมามอะหมัด อิบนุหัมบัล
อะบูยูซุฟ กล่าวว่า แม้กระทั้งในละหมาด และการกล่าวตะเอาวุซนี้ มะมูมก็ควรอ่าน แม้ว่าอิมามจะไม่อ่าน และควรอ่านตะเอาวุซในการละหมาดอีดหลังตักบีเราตุลอิหฺร็อมและก่อนกล่าวตักบีรฺ 7 ครั้งและ 5 ครั้ง อุลามาอฺส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรอ่านหลังตักบีรฺหลายครั้งดังกล่าว คือ ก่อนที่จะอ่านอัลฟาติหะฮฺ
ประโยชน์ที่ได้จากการอ่านตะเอาวุซนี้ คือ จะทำให้ปากบริสุทธิ์จากการพูดคุยในสิ่งที่ไร้สาระและสิ่งที่ไม่ดีงาม ทำให้มันสะอาดและดีงามเพื่อที่จะอานคำตรัสของอัลลอฮฺ
การกล่าวตะเอาวุซ เป็นการขอความช่วยเหลือจากอัลลออฺ ยอมรับในความทรงสามารถของพระองค์ และสำหรับบ่าวผู้ด้อยอ่อนแอและไร้ความสามารถที่จะต่อสู้แลขัดขวางศัตรูที่มีอยู่ในที่เร้นลับนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงสร้างเขา(ไชฏอน)ขึ้นมา เขาไม่ยอมรับการทำดีและไม่รับรู้กับความดี ผิดกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ อย่างที่อายาตอัลกุรอานได้กล่าวถึงในสามลักษณะ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴾ إِنَّ عِبَادِي لَيۡسَ لَكَ عَلَيۡهِمۡ سُلۡطَٰنٞۚ وَكَفَىٰ بِرَبِّكَ وَكِيلاً ﴿
(แท้จริงปวงบ่าวของข้านั้น เจ้าไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกเขา และพอเพียงแล้วที่พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง)(อัลอิซรออฺ 17:65)
บรรดามะลาอิกะฮฺเคยลงมาทำสงครามกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ ใครที่ถูกศัตรูที่มองเห็นที่เป็นมนุษย์นี้เขาจะได้รับชะหีด(การเสียชีวิตเพื่อศาสนา) และถ้าใครที่ถูกศัตรูที่มองไม่เห็นเขาคือคนที่ถูกสาปแช่ง ผู้ใดถูกศัตรูที่มองเห็น(มนุษย์)เขาคือผู้แพ้ สูญเสียอิสระภาพและทรัพย์สิน และผู้ใดแพ้แก่ศัตรูที่มองไม่เห็น(ไชฏอน)เขาเป็นคนที่ได้รับการทดสอบ(ฟิตนะฮฺ)หรือไม่ก็เป็นบาป ไชฏอนสามารถที่จะมองเห็นมนุษย์แต่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นไชฏอนได้ ดังนั้นการขอความช่วยเหลือให้ห่างไกลจากมันจึงต้องขอจากผู้ที่สามารถมองเห็นไชฏอนและไชฏอนไม่สามารถมองเห็นเขา(อัลลอฮฺ)
อัลอิซติอาซะฮฺ คือ การขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺและอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ให้ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย การของความคุ้มครองนี้บางครั้งหมายถึงขอห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย บางครั้งหมายถึงขอให้พบในสิ่งที่ดี อย่างที่ อัลมุตะนับบีย์ ได้กล่าวเป็นบทกลอนไว้ว่า
يَا مَنْ أَلُوذ بِهِ فِيمَا أُؤَمِّلهُ وَمَنْ أَعُوذ بِهِ مِمَّنْ أُحَاذِرهُ
لَا يَجْبُر النَّاس عَظْمًا أَنْتَ كَاسِره وَلَا يَهِيضُونَ عَظْمًا أَنْتَ جَابِره
(โอ้.. คนที่ฉันของความคุ้มครอง เพื่อที่ฉันจะได้สิ่งที่ฉันหวัง
และคนที่ฉันขอความคุ้มครอง ขอให้ห่างไกลจากสิ่งที่ฉันหวาดกลัว
มนุษย์ไม่สามารถที่จำยิ่งใหญ่ได้หลังจากที่เจ้าได้ทำลายมัน
และพวกเขาจะไม่สามารถลุกขึ้นยิ่งใหญ่หลังจากที่เจ้าได้ยกมันขึ้น)
อัลลอฮฺ-ตะอาลา- ได้ตรัสว่า
﴿ خُذِ ٱلۡعَفۡوَ وَأۡمُرۡ بِٱلۡعُرۡفِ وَأَعۡرِضۡ عَنِ ٱلۡجَٰهِلِينَ
وَإِمَّا يَنزَغَنَّكَ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ نَزۡغَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِۚ إِنَّهُۥ سَمِيعٌ عَلِيمٌ ﴾
( เจ้า(มุหัมมัด) จงยึดถือไว้ซึ่งการอภัยและจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และจงผินหลัง ให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด และหากมีการยั่วยุใดๆ จากไชฏอน ที่กำลังยั่วยุเจ้าอยู่ ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้)(อัลอะอฺรอฟ 7:199-200)
และ
﴿ ٱدۡفَعۡ بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُ ٱلسَّيِّئَةَۚ نَحۡنُ أَعۡلَمُ بِمَا يَصِفُونَ
وَقُل رَّبِّ أَعُوذُ بِكَ مِنۡ هَمَزَٰتِ ٱلشَّيَٰطِينِ ﴾
(เจ้าจงปราบความชั่วด้วยสิ่งที่ดียิ่ง เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าวหา และจงกล่าวเถิด(มุหัมมัด) ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ให้พ้นจากเสียงกระซิบกระซาบของไชฏอน) (อัลมุมินูน 24:96-97)
และ
﴿ ٱدۡفَعۡ بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُ فَإِذَا ٱلَّذِي بَيۡنَكَ وَبَيۡنَهُۥ عَدَٰوَةٞ كَأَنَّهُۥ وَلِيٌّ حَمِيمٞ
وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ٱلَّذِينَ صَبَرُواْ وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ذُو حَظٍّ عَظِيمٖ
وَإِمَّا يَنزَغَنَّكَ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ نَزۡغَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِۖ إِنَّهُۥ هُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡعَلِيمُ ﴾
(เจ้าจงขับไล่ (ความชั่ว) ด้วยสิ่งที่มันดีกว่า แล้วเมื่อนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกันก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน และไม่มีผู้ใดได้รับมัน (คุณธรรมดังกล่าว) นอกจากบรรดาผู้อดทน และจะไม่มีผู้ใดได้รับมัน นอกจากผู้ที่มีโชคลาภอันใหญ่หลวง และหากว่าการยุแหย่ใดๆ จากไชฏอนมายั่วยุเจ้า ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้) (ฟุศศิลัต 41:34-36)
สามอายาตที่กล่าวมานี้ ไม่มีอายะฮฺที่สี่ที่มีความหมายเดียวกัน อัลลอฮฺได้บัญชาให้กระทำการดีกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ เพื่อที่จะให้พวกเขาหันกลับไปหาธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขา ให้ความรักและให้ความเป็นมิตรแก่เขา และอัลลอฮฺได้บัญชาให้ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้คุ้มครองจากศัตรูที่เป็นไชฏอน เพราะไชฏอนนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะทำกับเขาแล้ว มันไม่รับการกระทำดี มันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหายนะแก่ลูกหลานอาดัน(มนุษย์) เป็นเพราะความโกรธแค้นของมันที่มีต่ออาดัมที่เกิดขึ้นในอดีตกาล ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
﴿ يَٰبَنِيٓ ءَادَمَ لَا يَفۡتِنَنَّكُمُ ٱلشَّيۡطَٰنُ كَمَآ أَخۡرَجَ أَبَوَيۡكُم مِّنَ ٱلۡجَنَّةِ ﴾
(ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย จงอย่าให้ไชฏอนหลอกลวงพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว ) (อัลอะอฺร๊อฟ 7:27)
และพระองค์ตรัสว่า
﴿ إِنَّ ٱلشَّيۡطَٰنَ لَكُمۡ عَدُوّٞ فَٱتَّخِذُوهُ عَدُوًّاۚ إِنَّمَا يَدۡعُواْ حِزۡبَهُۥ لِيَكُونُواْ مِنۡ أَصۡحَٰبِ ٱلسَّعِيرِ ﴾
(มารไชฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริง มันเรียกร้องพลพรรคของมัน เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง) (ฟาฏิร 35:6)
﴿ أَفَتَتَّخِذُونَهُۥ وَذُرِّيَّتَهُۥٓ أَوۡلِيَآءَ مِن دُونِي وَهُمۡ لَكُمۡ عَدُوُّۢۚ بِئۡسَ لِلظَّٰلِمِينَ بَدَلاً﴾
(แล้วพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมัน เป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้ากระนั้นหรือหรือ ทั้ง ๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ ๆ ในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม) (อัลกะฮฺฟี 18:50)
ไชฏอนเคยสาบานกับอาดัมว่าตัวมันนั้นคือผู้หวังดีที่ให้คำตักเตือน แต่พวกมันโกหก และพวกมันกระทำอะไรบ้างกับเรา อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ قَالَ فَبِعِزَّتِكَ لَأُغۡوِيَنَّهُمۡ أَجۡمَعِينَ
إِلَّا عِبَادَكَ مِنۡهُمُ ٱلۡمُخۡلَصِينَ ﴾
(มันกล่าวว่า ดังนั้นด้วยพระอำนาจของพระองค์ท่าน แน่นอนข้าพระองค์ก็จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น) (ศ็อด 38:82-83)
และ
﴿ فَإِذَا قَرَأۡتَ ٱلۡقُرۡءَانَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ ٱلرَّجِيمِ
إِنَّهُۥ لَيۡسَ لَهُۥ سُلۡطَٰنٌ عَلَى ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَعَلَىٰ رَبِّهِمۡ يَتَوَكَّلُونَ
إِنَّمَا سُلۡطَٰنُهُۥ عَلَى ٱلَّذِينَ يَتَوَلَّوۡنَهُۥ وَٱلَّذِينَ هُم بِهِۦ مُشۡرِكُونَ ﴾
(ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง แท้จริงมันไม่มีอำนาจใดๆ เหนือบรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาได้มอบหมาย (การงาน) ต่อพระเจ้าของพวกเขา แท้จริงอำนาจของมันจะมีเหนือบรรดาผู้เป็นมิตรกับมัน และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้ตั้งภาคีกับพระองค์) (อันนะหฺลฺ 16:98-100)
นักอ่านอัลกุรอาน(กุรฺรออฺ)บางกลุ่มและคนอื่นๆ ได้กล่าวว่า การกล่าวตะเอาวุซ(อะอูซุบิลลาฮิมินะไชฏอนนิรฺเราะญีม) ให้กล่าวหลังจากอ่านอัลกุรอาน พวกเขายึดตามตามรูปแบบของประโยคในอายะฮฺนั้น และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกชื่นชมในตัวเองหลังจากได้กระทำอิบาดะฮฺ บุคคลที่มีความเห็นเช่นนี้ได้แก่ หัมซะฮฺ โดยที่เขาได้คัดลอกมาจาก อิบนุ กุลูก็อนและอะบู หาติม อัซซิญิซตานีย์ โดยเรื่องนี้รายงานโดย อะบูกอซิม ยูซุฟ อิบนุ อะลา อิบนุ ญุบบาเราะฮฺ อัลฮุซะลีย์ ในหนังสือ อัลอิยาดะฮฺ อัลกามิล และรายงานโดยอะบูฮุร็อยเราะฮฺ เช่นกัน ซึ่งเป็นการรายงานที่โดดเดียว(ฆอรีบ)
มุหัมมัด อิบนุ อุมัรฺ อัรรอซีย์ ได้คัดลงในหนังสืออรรถาธิบายของเขา จากการรายงานของ อิบนุ ซีรีน ในรายงานหนึ่งของเขา เขากล่าวว่า ความเห็นนี้เป็นคำพูดของอิบรอฮีม อันนะคะอีย์และอาวูด อิบนุ อาลีย์ อัลอัศบะฮานีย์ อัศศอฮิรีย์ และอัลกุรฏุบีย์ได้รายงานว่า อะบูบักรฺ อิบน อัลอะรอบีย์ ได้รายงานจากกลุ่มอุลามาอฺซึ่งได้รับรายงานจากอิมามมาลิก-เราะฮิมะฮุลลอฮฺ- ว่า “คนอ่านอัลกุรอานจะกล่าวตะเอาวุซหลังจากได้อ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ” ซึ่งอิบนุ อะรอบีย์ ได้กล่าวว่า ความเป็นนี้เป็นความเห็นที่โดดเดี่ยว(ฆอรีบ)
ความเห็นที่สาม เห็นว่า การกล่าวอิซติอาซะฮฺนี้ กล่าวในตอนเริ่มต้นการอ่านและตอนท้ายของการอ่าน เป็นการรวมสองหลักฐาน ความเห็นนี้บันทึกโดย อัรรอซีย์
แต่ที่เป็นที่ยอมรับของบรรดาอุลามาอฺส่วนใหญ่ คือ กล่าวอิซติอาซะฮฺก่อนการอ่านอัลกุรอาน เพื่อเป็นการผลักสิ่งที่จะมาสร้างความรู้สึกคลางแคลงใจที่จะมารบกวนการอ่าน ตามที่พวกเขาเข้าใจความหมายของอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า
﴿ فَإِذَا قَرَأۡتَ ٱلۡقُرۡءَانَ فَٱسۡتَعِذۡ بِٱللَّهِ مِنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ ٱلرَّجِيمِ ﴾
(ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง) (อันนะหฺลิ 16:98)
หมายถึง เมื่อต้องการอ่านอัลกุรอาน เช่นเดียวอายะฮฺที่ว่า
﴿ إِذَا قُمۡتُمۡ إِلَى ٱلصَّلَوٰةِ فَٱغۡسِلُواْ وُجُوهَكُمۡ وَأَيۡدِيَكُمۡ ...﴾
(เมื่อพวกเจ้ายืนขึ้นจะไปละหมาด ก็จงล้างหน้าของพวกเข้า และมือของพวกเจ้า) จนจบอายะฮฺ (อัลมาอิดะฮฺ 5:6)
หมายถึง เมื่อพวกเจ้าต้องการละหมาด
หลักฐานในแนวคิดนี้คือหะดีษของเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) อิมามอะหฺมัด อิบนุหัมบัล-เราะหิมะฮุลลอฮฺ- ได้กล่าวว่า มุหัมมัด อิบนุ อัลหะซัน อิบนุ อะนัซ ได้รายงานแก่เราว่า ญะอฺฟัรฺ อิบนุ ซุไลมาน ได้รายงานแก่เราว่า ได้รับรายงานจากอะลี อิบนุ อะลี อัรริฟาอีย์ อัลยัซกุรีย์ จาก อะบู อัลมุตะวักกัล อันนาญีย์ ว่า อะบูซะอีด อัลคุดรีย์ ได้กล่าวว่า
“เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ลุกขึ้นละหมาดในเวลากลางคืน ท่านเปิดละหมาดของท่านแล้วตักบีรฺ จากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" سُبْحَانك اللَّهُمَّ وَبِحَمْدِك وَتَبَارَكَ اِسْمك وَتَعَالَى جَدّك وَلَا إِلَه غَيْرك "
(มหาบริสุทธิ์เป็นของพระองค์ท่าน โอ้อัลลออฺ และด้วยการสรรเสริญพระองค์ และบารอกะฮฺในพระนามของพระองค์ และความสูงส่งในพลังอำนาจของพระองค์ท่าน ไม่มีพระเจ้าองค์ใดนอกจากพระองค์ท่าน)
จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮฺกล่าวว่า
" لَا إِلَه إِلَّا اللَّه"
(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) สามครั้ง
หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่ง จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน))
หะดีษนี้มีการบันทึกโดยนักบันทึกหะดีษทั้ง 5 คน จากการรายงานของ ยะอฺฟัรฺ อิบน สุไลมาน ซึ่งรับมาจาก อะลี อิบนุ อะลี อัรริฟาอีย์ (อะหฺมัด:3/50, อะบูดาวูด:775 , อัตติรมีซีย์:242, อันนะซาอีย์:2/132, อิบนุมาญะฮฺ:804)
อัตติรมีซีย์ ได้กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษที่ได้รับความนิยมมากในเรื่องนี้ และได้ให้ความหมายของคำว่า هَمْز หมายถึงบีบรัดให้รู้สึกแคบ نَفْخ หมายถึง เย่อหยิง สำคัญตนว่าเป็นใหญ่(ตะกับบุร) และ نَفْث หมายถึง เป่าให้รู้สึกจะร่ายบทชะอีรฺ
อะบูดาวูดและอิบนุมาญะฮฺ ก็ได้รายงานหะดีษที่รายงานโดย ชุอฺบะฮฺ ซึ่งได้รับจาก อัมรู อิบนุ มุรฺเราะฮฺ จาก อาศิม อัลอะนะซีย์ จาก นาฟิอฺ อิบนุ ญุไบรฺ อัลมุฏอิม ว่า บิดาของเขาได้กล่าวว่า
“ฉันได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) เมื่อท่านเข้าละหมาด ท่านจะกล่าวว่า
" اللَّه أَكْبَر كَبِيرًا " (อัลลอฮุอักบัรฺ กะบีรอ:อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) สามครั้ง " الْحَمْد لِلَّهِ كَثِيرًا " (อัลหัมดุลิลลาฮิกะษีรอ:บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺที่ยิ่งใหญ่) สามครั้ง " سُبْحَان اللَّه بُكْرَة وَأَصِيلًا " (ซุบหานัลลอฮิบุกรอตันวะอาศีลา:มหาบริสุทธิเป็นของอัลลอฮฺทั้งเช้าและเย็น) สามครั้ง จากนั้นท่านก็กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน จากไชฏอน จากความคับแคบ จากการพ่นและเป่าของมัน)
อุมัรฺ กล่าวว่า هَمْز หมายถึง คับแคบ الْكِبْر หมายถึง เย่อหยิ่ง และ نَفْث หมายถึง การร่ายบทชะอีรฺ (อะบูดาวูด:764, อิบนุมาญะฮฺ:807, อิบนุหิบบาน:443)
อิบนุมาญะฮฺ กล่าวว่า อะลี อิบนุ อันมุนซัรฺ ได้บอกแก่เราว่า อิบนุฟูไฎลฺ ได้บอกแก่เราว่า อะฏออฺ อิบนุ อัซซาอิบ ได้รับรายงานจาก อับดุรเราะฮฺมาน อัซซุลมา ว่า อิบนุ มัซอูด ได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
" أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "
(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่ง จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน))
และเขาได้กล่าวอีกว่า هَمْز หมายถึงบีบรัดให้รู้สึกแคบ نَفْخ หมายถึง เย่อหยิง สำคัญตนว่าเป็นใหญ่(ตะกับบุร) และ نَفْث หมายถึง เป่าให้รู้สึกจะร่ายบทชะอีรฺ (อิบนุมาญะฮฺ:808, อิบนุคุไซมะฮ:472)
อิมามอะหฺมัด กล่าวว่า อิซหาก อิบนุ ยูซุฟ ได้กล่าวแก่เราว่า ชะรีก ได้กล่าวแก่เราว่า ได้รับรายงานจาก ยะอฺลา อิบนุ อะฏออฺ ว่า ชายคนหนึ่งได้บอกแก่เขาว่า เขาได้ยิน อุมามะฮฺ อัลบาฮิลีย์ กล่าวว่า
“เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ยืนละหมาด ท่านจะกล่าว ตักบีรฺ 3 ครั้ง แล้วท่านจะกล่าว
لَا إِلَه إِلَّا اللَّه (ไม่มีเจ้าองค์ใดนอกจากอัลลอฮฺ) 3 ครั้ง และ
وَسُبْحَان اللَّه بِحَمْدِهِ (และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮฺและการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์) 3 ครั้ง จากนั้นท่านก็กล่าว
" أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم مِنْ هَمْزه وَنَفْخه وَنَفْثه "(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้จากไชฏอนผู้ถูกสาปแช่ง จากจากกระซิบของมัน การพ่นและเป่ามนตร์ของมัน)) (อะหฺมัด:5/253)
อัลหาฟิซ อะบูยะอฺลา อะหฺมัด อิบนุ อะลีย์ อิบนุ อัลมุษันนา อัลเมาศิลีย์ ได้กล่าวในหนังสือมัซนัดของเขาว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ อิบนุ อะบาน อัลคูฟีย์ ได้กล่าวแก่ฉันว่า อะลีย์ อิบนุ ฮิชาม อิบนุ อัลบะรีด จาก อิบนุ ยะซีด อิบนุ ซียาด จาก อับดุลมะลิก อิบนุ อุไมรฺ จาก อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบู ไลลา ว่า อุไบ อิบุ กะอับ(ร็อฎิฯ) ได้กล่าวว่า
“ชายสองคนอยู่กับทานนบี(ศ็อลฯ) คนหนึ่งไปจับจมูกอีกคนหนึ่ง ทำให้รู้สึกโกรธ ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า
" إِنِّي لَأَعْلَم شَيْئًا لَوْ قَالَهُ لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِد : أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم""
(ฉันจะสอนสิ่งหนึ่ง ถ้ากล่าวในสิ่งนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยู่กับเจ้าก็จะหายไป คือ (กล่าว) อะอูซูบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรฺเราะญีม(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง))
อันนะซาอีย์ ได้บันทึกหะดีษนี้เช่นกัน บันทึกลงในหนังสือ “อัลเยามวัลไลละฮฺ” ซึ่งได้รับรายงานจาก ยูซุฟ อับนุ อีซา อัลมัรฺวะซีย์ จาก อัลฟัฎลฺ อิบนุ มูซา จาก ยาซีด อิบนุ ซียาด อิบนุ อะบู อัลยะอฺดียะฮ (อันนะซาอีย์:10223)
อิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล ก็ได้บันทึกหะดีษนี้เช่นกัน จากรายงานของ อะบูซะอีด ซึ่งได้รับรายงานจาก ซาอิดะฮฺ และอะบูดาวูด จาก ยูซุฟ อิบนุ มูซา จาก ญะรีรฺ อิบนุ อับดุลหะมีด
อัตติรมีซีย์และอันนะซาอีย์ในหนังสือ อัลเยามฺวัลไลละฮฺ จาก บุนดารฺ จาก อะบูมะหฺดีย์ จาก อัษเษารีย์
อันนะซาอีย์ ก็ได้รายงานจากหะดีษที่รายงานโดย ซาอิดะฮฺ อิบนุ กะดามะฮฺ ซึ่งทั้งสามได้รับรายงานจาก อับดุลมะลิก อิบนุ อุไมร์ จาก อับดุริเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ว่า มุอาซ อิบนุ ญะบัล(รอฎิฯ)ได้กล่าว่า
“ชายหนุ่มสองคนทะเลาะกันต่อหน้านบี(ศ็อลฯ) ทำให้คนหนึ่งโกรธมาก จนทำให้ฉันรู้สึกว่าจมูกของชายคนหนึ่งนั้นสั่นเพราะความโกรธที่รุนแรง ท่านนบี(ศ็อลฯ)จึงได้กล่าวว่า
" إِنِّي لَأَعْلَم كَلِمَة لَوْ قَالَهَا لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِد مِنْ الْغَضَب "
(ฉันจะสอนคำๆหนึ่ง ถ้ากล่าวคำนี้ออกไปแล้ว สิ่งที่อยู่กับเขาเพราะความโกรธนั้นจะหายไป)
เขาถามว่า “อะไรครับท่านเราะซูลุลลอฮฺ”
ท่านนบี(ศ็อลฯ)ตอบว่า
" يَقُول اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذ بِك مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم "
(กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงฉันขอคุ้มครองต่อพระองค์จากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)
ผู้รายงานหะดีษกล่าวว่า จากนั้นมุอาซได้ใช้ให้ชายคนนั้นกล่าวคำที่ท่านนบีสอน แต่เขาปฏิเสธที่จะกล่าว เลยทำให้ความโกรธของเขาได้เพิ่มยิ่งขึ้น”
(อะหฺมัด:5/244, อะบูดาวูด:4780, อัตติรมีซีย์:3452, อันนะซาอีย์:10221,10222)
บทหะดีษยกมานี้เป็นบทหะดีษที่บันทึกโดยอะบูดาวูด
อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษมุรซัล(อ้างอิงถึงนบี) เพราะอับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ไม่เคยพบกับมุอาซ อิบนุ ญะบัล เพราะมุอาซเสียชีวติก่อนปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 20
ฉัน(อิบนุกะษีรฺ)ว่า เป็นไปได้ที่อับดุรเราะฮฺมาน อิบนุ อะบูไลลา ได้ยินหะดีษนี้จาก อุไบ อิบนุ กะอับ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว และเขาได้รับจากมุอาซ อิบนุ ญะบัล และเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เศาะหาบะฮฺนบี(รอฎิฯ)เห็นแค่เพียงคนเดียว
อิมามอัลบุคอรีย์ กล่าวว่า อุษมาน อิบนุ อะบูไชบะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ญะรีรฺ ได้บอกแก่เราว่า อัลอะมัช ได้รายงานว่า จาก อะดีย์ อิบนุ ษาบิต ได้กล่าวว่า สุไลมาน อิบนุ ศุร็อด(รอฎิฯ) ได้กล่าวว่า
" اِسْتَبَّ رَجُلَانِ عِنْد النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَنَحْنُ عِنْده جُلُوس فَأَحَدهمَا يَسُبّ صَاحِبه مُغْضَبًا قَدْ اِحْمَرَّ وَجْهه فَقَالَ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " إِنِّي لَأَعْلَم كَلِمَة لَوْ قَالَهَا لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِدهُ لَوْ قَالَ أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم" فَقَالُوا لِلرَّجُلِ : أَلَا تَسْمَع مَا يَقُول رَسُول اللَّه صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : إِنِّي لَسْت بِمَجْنُونٍ "
(ชายสองคนทะเลาะกันต่อหน้าท่านนบี(ศ็อลฯ) และพวกเราก็อยู่กับท่าน ชายคนหนึ่งนั่งด่าทออีกคนด้วยความโกรธจนหน้าแดง แล้วท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าว “ฉันจะสอนคำๆหนึ่ง ถ้ากล่าวคำนี้ออกไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่กับเขา เมื่อเขากล่วว่า أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم :อะอูซูบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรฺเราะญีม(ข้าขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)” บรรดาเศาะหาบะฮฺที่อยู่กับนบีตอนนั้นกล่าวแก่ชายคนนั้นว่า “เจ้าไม่ได้ยินหรือท่านเราะซูลุลลอฮฺกล่าวอะไร” ชายคนนั้นตอบว่า “ฉันไม่ได้บ้า”)
อิมามอัลบุคอรีย์ อิมามมุสลิม อะบูดาวูดและอันนะซาอีย์ ได้บันทึกหะดีษนี้จากการรายงานหลายเส้นทางที่ได้มาจากการรายงานของอัลอะอฺมัชเช่นกัน (อัลบุคอรีย์:6115, มุสลิม:2610, อะบูดาวูด:4781, อันนะซาอีย์:10224,10225)
หะดีษที่เกี่ยวกับการอ่านอิซตะอาซะฮฺนี้มีมากมาย เป็นเรื่องยาวที่จะกล่าวในที่นี้ และ ที่ได้กล่าวถึงในเรื่องนี้ในหนังสือ อัลอัซการฺและฟะฎออิลอะอฺมาล วัลลอฮุอะอฺลัม
มีรานงานว่า มะลาอิกะฮฺญิบรีล-อะลัยฮิซซะลาม- ครั้งที่ท่านได้นำอัลกุรอานที่ประทานแก่นบีมุหัมมัด(ศ็อลฯْ)ครั้งแรกนั้น ท่านได้กล่าวว่า
"โอ้มุหัมมัด จงกล่าวอิซตะอิซ(ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ)" ท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็ได้กล่าวว่า " أَسْتَعِيذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم (ฉันขอความคุ้มครองจากผู้ทรางได้ยินที่รอบรู้ให้ห่างไกลจากไชฏอนที่ถูกสาปแช่ง)"
แล้วญิบรีลก็กล่าวว่า
"จงกล่าว บิซมิลลาฮิรฺเราะฮฺมานิรฺเราะฮีม(ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปราณีเสมอ)" แล่วท่านก็กล่าวต่ออีกว่า “ قۡرَأۡ بِٱسۡمِ رَبِّكَ ٱلَّذِي خَلَقَ (จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด)”
อับดุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า มันเป็นซูเราะฮฺแรกที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาแก่มุหัมมัด(ศ็อลฯ) โดยผ่านการกล่าวของญิบรีล
รายงานของหะดีษนี้เป็นรายงานที่แปลก โดดเดียว เรายกมากล่าวในที่นี้เพื่อในรู้เท่านั้น เพราะรายงานของหะดีษนี้อยู่ในระดับที่อ่าน เฎาะอีฟและอินกิฏออฺ .. วัลลอฮุอะอฺลัม
[ปะเด็นปัญหา]
อุลามาอฺส่วนใหญ่ได้เห็นพ้องกันว่า การกล่าว อิซติอาซะฮฺ นี้เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ทำ ไม่ใช่สิ่งที่บังคับที่ต้องทำ และเมื่อไม่ทำก็จะไม่ถือว่ามีความผิด
ฟัครุดดีน ได้เล่าว่า อะฏออฺ อิบนุอะบีรอบาหฺ ได้รายงานว่า วาญิบที่จะต้องอ่านในละหมาดและนอกเวลาละหมาดนั้นให้กล่าวเมื่อที่จะอ่านอัลกุรอาน
อิบนุซีรีนกล่าวว่า กล่าวตะเอาวุซครั้งเดียวในชีวิตก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การเป็นวาญิบที่จะต้องกล่าวนั้นหมดไป
ฟัครุดดีนได้อ้างหลักฐานจากอะฏออฺ จากอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า فَٱسۡتَعِذۡ (ก็จงขอความคุ้มครอง) เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นสิ่งที่ใช้ให้ทำ เป็นสิ่งที่นบี(ศ็อลฯ)ปฏิบัติเป็นจำประจำ เพราะเป็นการขอความคุ้มครองให้ห่างไกลจากความชั่วของไชฏอน และสิ่งที่ต้องทำนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้นอกจากได้ขอให้ห่างไกลจากไชฏอน การกล่าวตะเอาวุซขอห่างไกลจากไซฏอนจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ(วาญิบ) เพราะการกล่าวอิซติอาซะฮฺเป็นสิ่งที่ป้องการไม่เกิดความเสี่ยงและการป้องกันนี้ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งทีเป็นวาญิบที่ต้องทำ
อุลามาอฺบางคนกล่าวว่า การกล่าวอิซติอาซะฮฺนี้เป็นสิ่งที่วาญิบที่นบี(ศ็อลฯ)จะต้องทำแต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประชาชาติของนบีต้องทำ
และมีรายงานว่า อิมามมาลิก(รอฎิฯ) ได้กล่าว ตะเอาวุซ ในละหมาดที่เป้นฟัรฎูแต่ท่านจะอ่านในละหมาดซุนนะฮฺในคืนรอมฎอนคืนแรก
[ปะเด็นปัญหา]
อิมาม อัชชาฟิอีย์ ได้กล่าวในหนังสืออัลอิมลาอฺว่า การกล่าวตะเอาวุซ ต้องกล่าวด้วยเสียงดัง แต่ถ้าจะกล่าวเบาๆก็ไม่ถือว่าผิดอะไร และท่านได้กล่าวในหนังสือ อัลอุม ว่า ให้เลือก เพราะ อิบนุอุมัรฺ จะกล่าวอย่างเงียบๆและอะบูฮุร็อยเราะฮฺ จะกล่าวด้วยเสียงดัง และอิมามอัชชาฟิอีย์มีความเห็นต่างกับการการกล่าวตะเอาวุซในการละหมาดในร็อกะอะฮฺอื่นที่ไม่ใชร็อกกะอะฮฺแรก จะยังคงเป็นที่ส่งเสริม(ซุนนะฮฺ)ให้กล่าวหรือไม่ ซึ่งมีสองความเห็นและความเห็นที่ดีที่สุดคือ ในร็อกะอะฮฺอื่นๆนั้นไม่เป็นส่งเสริม(ซุนนะฮฺ)ให้กล่าว.. วัลลอฮุอะอฺลัม
เมื่อคนกล่าวตะเอาวุซว่า أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم อิมามอัชชาฟีอีย์และอิมามอะบูหะนีฟะฮฺมีความเห็นว่าเพียงพอแล้ว บางคนได้เพิ่มเป็น أَعُوذ بِاَللَّهِ السَّمِيع الْعَلِيم แต่คนอื่นเช่น เอาซาอีย์และอัษเษารีย์ได้เพิ่มเป็น أَعُوذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم إِنَّ اللَّه هُوَ السَّمِيع الْعَلِيم บางคนกล่าวว่าควรอ่าน أَسْتَعِيذ بِاَللَّهِ مِنْ الشَّيْطَان الرَّجِيم ตามคำบัญชาในอายะฮฺอัลกุรอานและหะดีษที่รายงานโดยอัฎเฎาะหากจากรายงานของอิบนุอับบาซตามที่ได้กล่าวมา และหะดีษเศาะหีหฺอื่นๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วเช่นกัน .. วัลลอฮุอะอฺลัม
[ปะเด็นปัญหา]
การอ่านอิซติอาซะฮฺในละหมาดเป็นการอ่านเพื่ออ่านอัลกุรอานเท่านั้น เป็นความเห็นของอิมามอะบูหะนีฟะฮฺและอิมามอะหมัด อิบนุหัมบัล
อะบูยูซุฟ กล่าวว่า แม้กระทั้งในละหมาด และการกล่าวตะเอาวุซนี้ มะมูมก็ควรอ่าน แม้ว่าอิมามจะไม่อ่าน และควรอ่านตะเอาวุซในการละหมาดอีดหลังตักบีเราตุลอิหฺร็อมและก่อนกล่าวตักบีรฺ 7 ครั้งและ 5 ครั้ง อุลามาอฺส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรอ่านหลังตักบีรฺหลายครั้งดังกล่าว คือ ก่อนที่จะอ่านอัลฟาติหะฮฺ
ประโยชน์ที่ได้จากการอ่านตะเอาวุซนี้ คือ จะทำให้ปากบริสุทธิ์จากการพูดคุยในสิ่งที่ไร้สาระและสิ่งที่ไม่ดีงาม ทำให้มันสะอาดและดีงามเพื่อที่จะอานคำตรัสของอัลลอฮฺ
การกล่าวตะเอาวุซ เป็นการขอความช่วยเหลือจากอัลลออฺ ยอมรับในความทรงสามารถของพระองค์ และสำหรับบ่าวผู้ด้อยอ่อนแอและไร้ความสามารถที่จะต่อสู้แลขัดขวางศัตรูที่มีอยู่ในที่เร้นลับนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงสร้างเขา(ไชฏอน)ขึ้นมา เขาไม่ยอมรับการทำดีและไม่รับรู้กับความดี ผิดกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ อย่างที่อายาตอัลกุรอานได้กล่าวถึงในสามลักษณะ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴾ إِنَّ عِبَادِي لَيۡسَ لَكَ عَلَيۡهِمۡ سُلۡطَٰنٞۚ وَكَفَىٰ بِرَبِّكَ وَكِيلاً ﴿
(แท้จริงปวงบ่าวของข้านั้น เจ้าไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกเขา และพอเพียงแล้วที่พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง)(อัลอิซรออฺ 17:65)
บรรดามะลาอิกะฮฺเคยลงมาทำสงครามกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ ใครที่ถูกศัตรูที่มองเห็นที่เป็นมนุษย์นี้เขาจะได้รับชะหีด(การเสียชีวิตเพื่อศาสนา) และถ้าใครที่ถูกศัตรูที่มองไม่เห็นเขาคือคนที่ถูกสาปแช่ง ผู้ใดถูกศัตรูที่มองเห็น(มนุษย์)เขาคือผู้แพ้ สูญเสียอิสระภาพและทรัพย์สิน และผู้ใดแพ้แก่ศัตรูที่มองไม่เห็น(ไชฏอน)เขาเป็นคนที่ได้รับการทดสอบ(ฟิตนะฮฺ)หรือไม่ก็เป็นบาป ไชฏอนสามารถที่จะมองเห็นมนุษย์แต่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นไชฏอนได้ ดังนั้นการขอความช่วยเหลือให้ห่างไกลจากมันจึงต้องขอจากผู้ที่สามารถมองเห็นไชฏอนและไชฏอนไม่สามารถมองเห็นเขา(อัลลอฮฺ)
อัลอิซติอาซะฮฺ คือ การขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺและอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ให้ห่างไกลจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย การของความคุ้มครองนี้บางครั้งหมายถึงขอห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย บางครั้งหมายถึงขอให้พบในสิ่งที่ดี อย่างที่ อัลมุตะนับบีย์ ได้กล่าวเป็นบทกลอนไว้ว่า
يَا مَنْ أَلُوذ بِهِ فِيمَا أُؤَمِّلهُ وَمَنْ أَعُوذ بِهِ مِمَّنْ أُحَاذِرهُ
لَا يَجْبُر النَّاس عَظْمًا أَنْتَ كَاسِره وَلَا يَهِيضُونَ عَظْمًا أَنْتَ جَابِره
(โอ้.. คนที่ฉันของความคุ้มครอง เพื่อที่ฉันจะได้สิ่งที่ฉันหวัง
และคนที่ฉันขอความคุ้มครอง ขอให้ห่างไกลจากสิ่งที่ฉันหวาดกลัว
มนุษย์ไม่สามารถที่จำยิ่งใหญ่ได้หลังจากที่เจ้าได้ทำลายมัน
และพวกเขาจะไม่สามารถลุกขึ้นยิ่งใหญ่หลังจากที่เจ้าได้ยกมันขึ้น)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น