วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

ตัฟซีรฺอิบนุกะษีรฺ : วิธีอรรถาธิบายอัลกุรอาน

 

حلقة التفسير

วิธีอรรถาธิบาย(ตัฟซีรฺ)อัลกุรอาน

        เมื่อมีคนถามว่า : “วิธีการใดที่เป็นวิธีอถาธิบายความหมายอัลกุรอานดีที่สุด?” คำตอบก็คือ : วิธีอรรถาธิบายกุรอานที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุด คือ การอธิบายความหมายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอาน ไม่มีสิ่งสวยงามใดงามยิ่งกว่าการอธิบายสิ่งนั้นในที่หนึ่งด้วยสิ่งนั้นในอีกที่หนึ่ง ถ้าเจ้าพบว่าการอธิบายความหมายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งลำบากสำหรับเจ้า เจ้าจงอ้างอิงถึงซุนนะฮฺ(หะดีษนบี) เพราะหะดีษนบีมีฐานะเสมือนมาอธิบายและให้ความกระจ่างความหมายอัลกุรอาน โดยเฉพาะ อย่างที่อิมาน อะบู อับดุลลอฮฺ มุหัมมัด อิบนุ อิดรีซ อัชชาฟิอีย์(อีมามชาฟีอีย์) -ขออัลลอฮฺทรงเมตตาแก่ท่าน- ได้กล่าวว่า “ทุกบทบัญญัติที่เด็ดขาดที่ท่านเราะซูลุลลอฮฺได้ตัดสิน ท่านได้จากการเข้าใจในความหมายอัลกุรอาน” อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

إِنَّآ أَنزَلۡنَآ إِلَيۡكَ ٱلۡكِتَٰبَ بِٱلۡحَقِّ لِتَحۡكُمَ بَيۡنَ ٱلنَّاسِ بِمَآ أَرَىٰكَ ٱللَّهُۚ وَلَا تَكُن لِّلۡخَآئِنِينَ خَصِيمٗا (١٠٥)

[(105) แท้จริง เราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าเป็นความจริง เพื่อเจ้าจะได้ตัดสินระหว่างผู้คนด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เจ้ารู้เห็น และเจ้าจงอย่าเป็นผู้เถียงแก้ให้แก่ผู้บิดพลิ้วทั้งหลาย] (อัน-นิซาอฺ 4:105)

และ

وَأَنزَلۡنَآ إِلَيۡكَ ٱلذِّكۡرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيۡهِمۡ وَلَعَلَّهُمۡ يَتَفَكَّرُونَ (٤٤)

[และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง(ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง] (อัน-นะหฺลิ 16:44)

وَمَآ أَنزَلۡنَا عَلَيۡكَ ٱلۡكِتَٰبَ إِلَّا لِتُبَيِّنَ لَهُمُ ٱلَّذِي ٱخۡتَلَفُواْ فِيهِ وَهُدٗى وَرَحۡمَةٗ لِّقَوۡمٖ يُؤۡمِنُونَ (٦٤)

[(64) และเรามิได้ให้คัมภีร์นี้ลงมาแก่เจ้า เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจง ให้แจ่มแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และเพื่อเป็นการชี้แนวทางและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา] (อัน-นะหฺลิ 16:64)

        ด้วยเหตุนี้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

"أَلَا إِنِّي أُوتِيتُ الْقُرْآنَ وَمِثْلَهُ مَعَهُ"

(ฉันได้นำมาอัลกุรอานและสิ่งเสมือนอัลกุรอานมาพร้อมๆกับอัลกุรอาน) (อะหฺมัด, อัลมัซนัด : 4/131)

หมายถึง ซุนนะฮฺ(แนวทางหรือหะดีษนบี)

        ซุนนะฮฺก็เช่นกัน อัลลอฮฺได้ประทานมาแก่ท่านนบีผ่านการดลใจ(วะหฺยู) เหมือนกับการประทานอัลกุรอาน แต่ซุนนะฮฺนบีไม่ได้อ่านอย่างที่อ่านอัลกุรอาน อิมามชาฟีอีย์ ได้นำซุนนะฮฺหรือหะดีษนบีนี้มาอ้างอิงในการตีความบทบัญญัติ และอีมามคนอื่นๆก็เช่นกัน ณ ตรงนี้จะไม่ขอพูดยาวในเรื่องนี้ ที่ต้องการในที่นี้ คือ ต้องการอธิบายหรือให้ความกระจ่างความหมายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอาน เช่นกันเมื่อไม่มีให้นำเอาซุนนะฮฺ(หรือหะดีษนบี)มาอธิบาย อย่างที่ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวแก่ มุอาซ เมื่อท่านแต่งตั้งให้มุอาซไปเผยแพร่ศาสนายังประเทศเยเมน ท่านนบีกล่าวว่า

"بِمَ تَحْكُمُ؟ ". قَالَ: بِكِتَابِ اللَّهِ. قَالَ: "فَإِنْ لَمْ تَجِدْ؟ ". قَالَ: بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ. قَالَ: "فَإِنْ لَمْ تَجِدْ؟ ". قَالَ: أَجْتَهِدُ بِرَأْيِي. قَالَ: فَضَرَبَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي صَدْرِهِ، وَقَالَ: "الْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِي وفَّق رَسُولَ رسولِ اللَّهِ لِمَا يَرْضَى رَسُولُ اللَّهِ"

(เจ้าจะตัดสินด้วยอะไร” มุอาซ ตอบว่า “ด้วยอัลกุรอาน” ท่านนบีถามต่อว่า “เมื่อเจ้าไม่พบละ?” มุอาซ ตอบว่า “ด้วยซุนนะฮฺของเราะซูลุลลอฮฺ” ท่านนบีถามต่อ “ถ้าเจ้าไม่เจออีกละ?” มุอาซ ตอบว่า “ฉันก็จะพยายามวินิจฉัยด้วยความคิดเห็นของฉัน” ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้ตีหน้าอกของท่าน แล้วกล่าวว่า “อัลหัมดุลิลลาฮฺ บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ได้ตัวแทนของศาสนทูตของพระองค์เห็นพ้องตรงตามที่เราะซูลุลลอฮฺพึงพอใจ”)(อะหฺมัด, อัลมัซนัด : 5/230)

        หะดีษนี้พบในหนังสือมัซนัดและหนังสือหะดีษต่างๆมากมาย ด้วยสายรายงานที่ดี น่าเชื่อถือ ตามที่บันทึกในเรื่องนั้น

        ดังนั้น จากความเข้าใจจากหะดีษนี้ เมื่อเราไม่เจอคำอธิบายความหมายอัลกุรอานจากอัลกุรอานด้วยกัน หรือจากซุนนะฮฺนบี เราควรอ้างอิงจากคำพูดของเศาะหาบะฮฺนบี เพราะบรรดาเศาะหาบะฮฺรอบรู้ในเรื่องลักษณะเช่นนี้ได้ดี พวกเขามองเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้ถึงสิ่งที่เกิดกับนบี มีความเข้าใจที่สมบูรณ์ รู้ในความรู้ที่ถูกต้องแท้จริง และได้นำไปปฏิบัติใช้ในทางที่ดี โดยเฉพาะบรรดาผู้รอบรู้(อุลามาอฺ)และเศาะฮาบะฮฺที่เป็นที่รู้จัก เช่น เคาะลีฟะฮฺทั้ง 4 บรรดาอีมามที่ได้รับทางนำและเป็นที่อ้างอิง และอับดุลลอฮฺ อิบนุมัซอูด -ขออัลลอฮฺโปรดปรานในตัวท่าน- อิมาม อะบูญะอฺฟัรฺ มุหัมมัด อิบนุญะรีรฺ ได้บอกว่า อะบูกะอับ ได้บอกแก่เราว่า ญะบีรฺ อิบนุนูหฺ ได้บอกแก่เราว่า อัลอะอฺมัช ได้บอกแก่เราว่า อะบู อัฎฎุหา ได้รายงานว่า รายงานจากมัซรูก ว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุมัซอูด ได้กล่าวว่า “ข้าขอสาบานต่อพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ว่า ไม่มีอายะฮฺอัลกุรอานอายะฮฺไหนที่ถูกประทานลงมานอกจากฉันจะรู้ดีว่าอายะฮฺนั้นถูกประทานลงมาแก่ใคร? ประทานที่ไหน? ถ้าฉันรู้สถานที่ที่คนหนึ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับอัลกุรอานได้ดีกว่าฉัน  ณ ที่นั้นอูฐสามารถเก้าไปถึง แน่นอนฉันจะต้องไปพบเขา(อัลบุคอรีย์ : 5002) อัลอะอฺมัช ได้กล่าวเช่นกันว่า รายงานจาก อาบูวาอิล ว่า อิบนุมัซอูดได้รายงานว่า “ถ้าคนใดคนหนึ่งได้พวกเรา เรียนรู้อัลกุรอาน 10 อายาต เขาจะไม่เรียนรู้มากกว่านั้น จนกว่าเขาจะเข้าใจความหมายของอายาตเหล่านั้นและนำไปปฏิบัติ(อัฏเฏาะบะรีย์ : 1/80) อะบู อับดุรเราะฮฺมาน อัซซัลมา ได้กล่าวว่า  คนที่สอนอัลกุรอานแก่พวกเราเล่าว่า พวกเขาเรียนอัลกุรอานโดยตรงจากนบี เมื่อพวกเขาเรียน 10 อายาต  พวกเขาไม่กล้าที่จะเรียนมากกว่านั้นก่อนที่พวกเขาจะนำไปปฏิบัติตามความหมายที่มีอยู่ในอายาตเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงเรียนอัลกุรอานและปฏิบัติตามพร้อมๆกัน พวกเขาได้เป็นทะเลของน้ำหมึกที่ใช้ขีดเขียน อับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาซ ลูกชายของน้าของท่านเราะซูลุลลอฮฺ ที่ถูกขนานนามว่า ผู้แปลความหมายอัลกุรอาน โดยได้รับบะรอกะฮฺดุอาของท่านเราะซูลุลลอฮฺ ที่ท่านขอดุอาแก่ อิบนุ  อับบาซ ว่า

اللَّهُمَّ فَقِّهْهُ فِي الدِّينِ، وَعَلِّمْهُ التَّأْوِيلَ"

(โอ้อัลลอฮฺ.. ขอพระองค์มอบความเข้าใจศาสนาแก่เขา และสอนเขาให้สามารถแปลความหมายอัลกุรอานได้) (อะหฺมัด, อัลมัซนัด : 1/266,314,327)

        อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า มุหัมมัด อิบนุ บะชารฺ ได้บอกแก่เราว่า วะกีอฺ ได้บอกแก่เราว่า ซุฟยาน ได้บอกว่า อัลอะอฺมัช ได้รายงานว่า มุสลิมรายงาน อับดุลลอฮฺ อิบนุมัซอูด ได้กล่าวว่า

คนที่แปลความหมายอัลกุรอานที่ดีที่สุด คือ อิบนุอับบาซ

        แล้วมีรายงานจาก ยะหฺยา อิบนุ ดาวูด  จาก อิซหาก อัลอัซรอก จากซุฟยาน จาก อัลอะอฺมัช จาก มุสลิม อิบนุศุไบหฺ อิบนุ อัฎฎัฮา จากมัซรูก ว่า อิบนุมัซอูด ได้กล่าวว่า

คนที่แปลความหมายอัลกุรอานที่ดีที่สุด คือ อิบนุอับบาซ

        จากนั้นก็มีรายงานจาก บุนดารฺ จาก เอาน์ จาก อัลอะอฺมัช เช่นนั้นเช่นกัน (อัฏเฏาะบะรีย์ 1/90) สายรายงานที่กล่าวมานั้นเป็นสายรายงานที่น่าเชื่อถือ(เศาะหีหฺ)จนถึง อิบนุมัซอูด ท่านกล่าวถึงอิบนุอับบาซ โดยที่ท่าน-ขออัลลอฮฺโปรดปรานท่าน-เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 32 และอิบนุอับบาซมีชีวิตหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไป 36 ปี แล้วท่านจะมีความคิดเห็นอะไรอีกกับความรู้ที่ท่านอิบนุอับบาซจะได้ความรู้หลังจากอิบนุมัซอูดเสียชีวิต? อัลอะอฺมัช กล่าวว่า อะบูวาอีล ได้รายงานว่า ท่านอาลี-เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ-ได้แต่งตั้งให้ อับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาซ เป็นตัวแทนท่านในฤดูทำฮัจญ์ ท่านอิบนุอับบาซฺได้อ่านในคุฏบะฮฺของท่านซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ บางรายงานว่าซูเราะฮฺอันนูรฺ ซึ่งท่านได้อธิบายความหมายอัลกุรอานในซูเราะฮฺนี้ ถ้าคนโรม คนเตอร์กหรือคนเปอร์เซียมาฟังคุฏบะฮฺนี้ แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นต้องเข้ารับอิสลาม ในรายงานของอิสมาอีล อิบนุอับดุรเราะฮฺมาน อัซซะดีย์ อัลกะบีรฺ ในตัฟซีรฺ(หนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอาน)ของท่าน จะอ้างถึง 2 คนนี้ คือ อับดุลลอฮฺ อิบนุมัซอูด และอิบนุอับบาซฺ แต่บางครั้ง อิสมาอีล อัซซะดีย์ อัลกะบีรฺ ได้ยกคำพูดของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ที่พูดถึงเรื่องราวที่มาจากชาวคัมภีร์(ยิวและนัศรอนีย์) ที่เป็นเรื่องราวที่ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้อนุญาติ โดยท่านกล่าวว่า

" بَلِّغوا عَنِّي وَلَوْ آيَةً، وحَدِّثوا عَنْ بَنِي إِسْرَائِيلَ وَلَا حَرَج، وَمَنْ كَذَبَ عَلَىَّ مُتَعَمِّدًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ"

(พวกเจ้าจงบอกเกี่ยวกับฉัน แม้จะเป็นเพียงแค่หนึ่งอายะฮฺ และพวกเจ้าจงพูดเกี่ยวกับบะนีอิสรออีล พวกเจ้าจะไม่ผิด และคนที่โกหกเกี่ยวกับฉันโดยการตั้งใจ จงเตรียมที่นั่งของเขาในไฟนรก) รายงานโดย อัลบุคอรีย์จากการรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนุมัซอูด. (อัลบุคอรีย์ : 3461)

        อับดุลลอฮฺ อิบนุอัมรู -เราะฎิยัลลอฮุอันฮู(ขออัลลอฮฺโปรดปรานท่าน)- ได้รับหนังสือของชาวคัมภีร์ 2 เล่ม เป็นทรัพย์สินที่ได้รับแบ่งจากเฆาะนีมะฮฺ(ส่วนแบ่งจากการชนะสงคราม) ท่านชอบกล่าวอ้างถึงจากหนังสือ 2 เล่มนี้ โดยเข้าใจจากหะดีษข้างบนว่าท่านนบีได้อนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ แต่เรื่องราวอิสรออิลิยาต(เรื่องราวจากคัมภีร์ของคนยิวและนัศรอนีย์) สามารถกล่าวถึงในลักษณะเป็นพยานเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างอิงในการตัดสินความ เรื่องราวอิสรออิลิยาต มี 3 ชนิด
  • หนึ่ง : เรารู้ว่าถูกต้อง ตรงตามที่บันทึกในคัมภีร์ของเรา(อัลกุรอาน) สิ่งนั้นหรือเรื่องราวนั้นถูกต้อง (ความเชื่อต่อเรื่องนั้นก็ไม่ผิด)
  • สอง : เรารู้ว่าสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง ไม่ตรงกับสิ่งที่เรามีอยู่
  • สาม : สิ่งนั้นหรือเรื่องราวนั้นไม่มีในอัลกุอาน ไม่เข้าข่ายชนิดที่หนึ่ง และไม่เข้าข่ายชนิดที่สาม จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อและไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ สามารถที่จะนำไปเล่าได้ตามที่ได้อนุญาตามที่กล่าวมาข้างบน และกลุ่มที่สามนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนา
        เรื่องราวในชนิดที่ 3 นี้ นักวิชาการของชาวคัมภีร์เองมีความเห็นที่แตกต่างกัน จึงทำให้นักอรรถาธิบายอัลกุรอานมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน เช่น ชื่อของชาวถ้ำ(อัศหาบุลกะฮฺฟี:أصحاب الكهف) สีของสุนัขของเขา เวลาที่เขานอนอยู่ในถ้ำ ไม้เท้าของนบีมูซาทำด้วยไม้อะไร? ชื่อของนกที่อัลลอฮฺให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ในสมัยนบีอิบรอฮีม เจาะจงชนิดของวัวตัวเมียที่ใช้มาตีคนที่ถูกฆ่าในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ ชนิดของต้นไม้ที่อัลลอฮฺใช้พูดกับนบีมูซา และอื่นๆ ที่อัลลอฮฺไม่เจาะจงอย่างชัดเจนในอัลกุรอาน เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรในการจะบอกเจาะจงแก่คนที่บรรลุในเรื่องศาสนาและเรื่องเกี่ยวกับโลกของเขา แต่การนำเสนอเรื่องที่ไม่เห็นตรงของพวกเขาไม่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น อัลลอฮฺได้ตรัสในเรื่องนี้ว่า

سَيَقُولُونَ ثَلَٰثَةٞ رَّابِعُهُمۡ كَلۡبُهُمۡ وَيَقُولُونَ خَمۡسَةٞ سَادِسُهُمۡ كَلۡبُهُمۡ رَجۡمَۢا بِٱلۡغَيۡبِۖ وَيَقُولُونَ سَبۡعَةٞ وَثَامِنُهُمۡ كَلۡبُهُمۡۚ قُل رَّبِّيٓ أَعۡلَمُ بِعِدَّتِهِم مَّا يَعۡلَمُهُمۡ إِلَّا قَلِيلٞۗ فَلَا تُمَارِ فِيهِمۡ إِلَّا مِرَآءٗ ظَٰهِرٗا وَلَا تَسۡتَفۡتِ فِيهِم مِّنۡهُمۡ أَحَدٗا (٢٢)

[(22) พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย] (อัลหะฮฺฟี 18:22)

        อายะฮฺอัลกุรอานอายะฮฺนี้กล่าวถึงมารยาทให้เรื่องลักษณะนี้ คือควรเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ อย่างเช่นที่กล่าวมาในอายะฮฺนี้ว่าอัลลอฮฺได้ตรัสถึงพวกชาวถ้ำนั้นได้มีการพูดถึง 3 กลุ่มคำพูด อัลลอฮฺแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของ 3 กลุ่มแรกนั้นมีน้อยมาก ส่วนกลุ่มที่สามอัลลอฮฺละไว้ แสดงว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าไม่ถูกต้องอัลลอฮฺคงตอบมาอย่างสองกลุ่มแรก จากนั้นอัลลอฮฺชี้ให้เห็นถึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรู้ถึงจำนวนของชาวถ้ำนั้น อัลลอฮฺตรัสในเรื่องลักษณะนี้ว่า ﴾قُل رَّبِّيٓ أَعۡلَمُ بِعِدَّتِهِم﴿ [จงกล่าวเถิด(มุหัมมัด) พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา] และจำนวนของชาวถ้ำที่ว่านี้ไม่มีใครรู้นอกจากไม่กี่คนเท่านั้น คือ คนที่อัลลอฮฺให้รู้และได้เห็นจำนวนของเขาเหล่านั้น ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ตรัสว่า﴾فَلَا تُمَارِ فِيهِمۡ إِلَّا مِرَآءٗ ظَٰهِرٗا﴿  [ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง] คือ อย่าพยายามกระทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไร และอย่าพยายามถามพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาไม่มีความรู้ นอกจากการคาดเดาในสิ่งอยู่นอกเหนือสายตา เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่พูดถึงเรื่องราวที่มีความเห็นที่แตกต่าง คือ ให้เรารับรู้ในทุกความเห็นที่นำเสนอมา ระมัดระวังในความเห็นที่ถูกต้อง และอะไรที่ไม่ถูกต้องก็บอกว่าไม่ถูกต้อง ระมัดระวังกับผลที่ได้รับจากความเห็นที่แตกต่างเพื่อที่จะไม่ต่อสาวยืดยาวทำให้เกิดการโต้เถียงกันกับความเห็นที่แตกต่างที่ไม่ให้ประโยชน์อะไร คนที่เล่าเรื่องราวที่เป็นเรื่องที่มีความเห็นแตกต่างกัน และเขาไม่สนใจคำพูดของคนอื่น ถือว่าบกพร่อง บางทีความถูกต้องอาจจะอยู่กับคนที่เขาละไปก็เป็นได้ หรือเขาเล่าถึงสิ่งที่แตกต่างโดยไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ถูกต้องที่มีอยู่ในความเห็นที่แตกต่าง ถือว่าบกพร่องเช่นกัน ถ้าเขาถือความกับสิ่งที่คลุมครือว่าถูกต้อง ถือว่าเขาได้พูดในสิ่งที่เป็นอย่างที่เขาตั้งใจ หรือเขาไม่รู้ในเรื่องนั้นจริง ก็ถือว่าเขาได้ทำผิด เช่นกันคนที่พาตัวเองเข้าไปยุ่งในความเห็นที่แตกต่างนั้น โดยไม่มีประโยชน์ใดๆจากความแตกต่างนั้น หรือเขาเล่าความแตกต่างต่างๆนานาด้วยคำพูดและได้รับสาระจากความเห็นที่แตกต่างนั้นเพียงหนึ่งหรือสองความเห็นเท่านั้น นับว่าเป็นการเสียเวลาและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงให้มีมากขึ้น เปรียบเสมือนคนใส่เสื้อผ้าปลอมๆ 
         ซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะฮฺ ได้กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ อาบูยะซีด ได้กล่าวว่า เมื่อมีคนถามอิบนุอับบาซเกี่ยวกับอายะฮฺในอัลกุรอาน ท่านจะตอบด้วยอัลกุรอาน ถ้าไม่สามารถทำได้ท่านจะตอบด้วยหะดีษนบี เมื่อไม่ได้อีกท่านก็จะตอบโดยอ้างถึงอะบูบักรฺและอุมัรฺ และถ้าไม่ได้อีกท่านก็จะตอบด้วยความพยายาม(อิจญติฮาด)ด้วยตัวของท่านเอง

*                 *                   *

        เมื่อไม่พบคำอธิบายอัลกุรอานจากอัลกุรอาน ไม่พบในหะดีษ และไม่พบคำอธิบายจากบรรดาเศาะหาบะฮฺนบี บรรดาผู้นำศาสนาทั้งหลายจะอ้างอิงไปยังคำพูดของตาบีอีน(ผู้ที่ไม่ทันกับท่านนบีแต่ทันกับเศาะหาบะฮฺ) อย่างเช่น มุญาฮิด  อิบนุ ญับริน เพราะท่านเปรียบเสมือนสัญญาณในการให้ความหมายอัลกุรอาน 
        มุหัมมัด อิบนุ อิซหาก ได้กล่าวว่า อะบาน อิบนุ ศอลิฮฺ ได้เล่าแก่เราว่า มุญาฮิดได้กล่าวว่า “ฉันได้อ่านอัลกุอานให้ อิบนุ อับบาซ ฟัง 3 ครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันจะหยุดในทุก ๆ อายะฮฺและจะถาม อิบนุ อับบาซ เกี่ยวกับความหมายของอายะฮฺนั้น(อัฏเฏาะบะรีย์, 1/90) 
         อิบนุญะรีรฺ กล่าวว่า กุไรบฺ ได้บอกแก่เราว่า ฏอลกุน อิบนุ ฆอนนาม ได้เล่าว่า อุษมาน อิบนุ มักกีย์ ได้รายงานว่า อิบนุ อุไบ มุไลกะฮฺ ได้กล่าวว่า “ฉันเห็นมุญาฮิด ถามอิบนุอับบาซ เกี่ยวกับความหมายของอัลกุรอาน และในมือของเขามีแผ่นกระดาน(สำหรับเขียน) อิบนุอับบาซ กล่าวว่า: เจ้าจงเขียน เขากระทำเช่านี้จนหมดคำถามที่เกี่ยวกับการให้ความหมายอัลกุรอานทั้งหมด” ด้วยเหตุนี้ ซุฟยาน เอาเษารีย์ กล่าวว่า “เมื่อเจ้าได้รับการอธิบายความหมายอัลกุรอานที่มาจากมุญาหิด ก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าด้วยคำอธิบายนั้น” และอีกหลายคน เช่น ซะอีด อิบนุ ญุไบรฺ, อิกริมะฮฺ เมาลา อิบนุอับบาซ, อะฏออฺ อิบนุ อะบีเราะบาหฺ, อัลหะซัน อัลบัศรีย์, มัซรูก อิบนุ อัจดาอฺ, ซะอีด อิบนุ มุไซยิบ, อะบูอาลียะฮฺ, อัรเราะบีอฺ อิบนุ อะนัซ, เกาะตาดะฮฺ, เฎาะฮาก อิบนุ มุซาหิม และคนอื่น ๆ จากกลุ่มตาบิอีน ผู้ตามหลังตาบิอีน(ตาบิอฺ ตาบิอีน)และผู้ตามหลังพวกเขา(ตาบิอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน) เมื่อพวกเขาพูดถึงความหมายอายะฮฺอัลกุรอานอายะฮฺหนึ่ง จะพบว่าคำพูดของพวกเขาจะมีความแตกต่างกัน สำหรับคนที่ไม่รู้แล้วจะบอกว่าเป็นข้อแตกต่างที่ขัดแย้งกัน จริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น บางคนอาจจะพูดตามความคิดเห็นของเขาในเวลานั้น บางคนให้ความหมายตามทัศนะของเขา และทุกความเห็นเป็นความหมายเดียวกันในหลาย ๆ สถานการณ์ เรื่องราวเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาควรใส่ใจและระมัดระวัง และอัลลอฮฺเท่านั้นที่ให้แนวทางที่ถูกต้อง 
        ชุอฺบะฮฺ อิบนุ หุจญาจ และคนอื่นๆ กล่าวว่า คำพูดของบรรดาตาบีอืนในเรื่องแขนงปลีกย่อยนั้นไม่ใช่หลักฐานที่จะใช้อ้างอิงได้ และจะถือเป็นหลักฐานในการให้ความหมายอัลกุรอานได้อย่างไร? คือ ความเห็นของเขาไม่ใช่ข้ออ้างอิงที่จะไปโต้แย้งกับความเห็นของคนอื่นได้ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าพวกเขารวมกันเป็นความเห็นหนึ่งเดียว ก็สามารถถือเป็นที่อ้างอิงสำหรับโต้แย้งได้ แต่ถ้าพวกเขามีความเห็นที่แตกต่างกันก็ไม่สามารถที่จะใช้เป็นข้อโต้แย้งกันและกันได้ และไม่สามารถที่จะใช้เป็นข้อโต้แย้งแก่คนในรุ่นหลังจากเขาได้ การหาทางออกสามารถทำได้โดยการหันกลับไปยึดหลักในภาษาอัลกุรอาน ภาษาซุนนะฮฺ ภาษาอาหรับโดยภาพรวมหรือคำพูดของเศาะหาบะฮฺในเรื่องนั้น การอธิบายความหมายอัลกุรอานโดยใช้แต่ความคิดเห็นเท่านั้นเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) 
        มุหัมมัด อิบนุ ญะรีรฺ -เราะฮิมะฮุลลอฮฺ: ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน- ได้กล่าวว่า มุหัมมัด อิบนุ บะชารฺ ได้เล่าแก่เราว่า ยะหฺยา อิบนุ ชะอีด ได้เล่าแก่เราว่า ซุฟยาน ได้เล่าว่า อับดุลอะอฺลา คือ อามิรฺ อัษษะอฺละบีย์ ได้บอกแก่ฉันว่า ซะอีด อิบนุ ญุบีรฺ ได้รายงานว่า อิบนุ อับบาซ ได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

" مَنْ قَالَ فِي الْقُرْآنِ بِرَأْيِهِ، أَوْ بِمَا لَا يَعْلَمُ، فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ "

(ผู้ใดให้ความหมายอัลกุรอนด้วยความเห็นของเขา หรือให้ความหมายในสิ่งที่เขาไม่รู้ ดังนั้นขอให้เขาจงเตรียมเก้าอี้ของเขาในไฟนรก)

        หะดีษนี้บันทึกโดยอัตติรมีซีย์และอันนะซาอีย์ จากสายรายงานของ ซุฟยาน อัษเษารีย์ ส่วน อะบูดาวูด บันทึกจากสายรายงานของ มุซัดดัด จากอิบนุ อาวานะฮฺ จากอับดุลอะอฺลา และอัตติรมีซีย์ได้กล่าวว่า หะดีษมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับหะซัน(ดี) (อัตติรมีซีย์ : 2952, อันนะซาอีย์ : 8084, อะบูดาวูด :3652 ) 
        อิบนุญะรีรฺ ได้รายงานเช่นนี้เหมือนกัน รายงานจาก ยะหฺยา อิบนุ ฏอลหะฮฺ อัลยัรบูอีย์ จาก ชะรีก จาก อับดุลอะอฺลา เป็นหะดีษมัรฟูอฺ[1] แต่มีรายงานจากมุหัมมัด อิบนุ หุมัยดฺ รายงานจาก อัลหะกัม อิบนุ บะชีรฺ จาก อัมรู อิบนุ ไกซ อัลมุลาอีย์ จาก อับดุลอะอฺลา จากซะอีด จากอิบนุอับบาซ ในลักษณะหะดีษเมากูฟ[2] และมีรายงานจาก มุหัมมัด อิบนุ หะมีด จาก ญะรีรฺ จาก ไลษฺ จาก บักรฺ จาก ซะอีด อิบนุ ญุไบรฺ จาก อิบนุอับบาซ ซึ่งเป็นคำพูดของอิบนุอับบาซเอง(เมากูฟ). วัลลอฮุอะอฺลัม -อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ยิ่ง-    
        อิบนุ ญะรีรฺ ได้กล่าวว่า อัลอับบาซ อิบนุ อับดุลอะซีม อัลอัมบะรีย์ ได้บอกแก่เราว่า หันนาน อิบนุ ฮิลาล ได้บอกแก่เราว่า ซุไฮล์ พี่ชาย หัซมฺ ได้บอกว่าแก่เราว่า อะบูอัมรอน อัลเญานีย์ ได้บอกแก่เราว่า ญุนดุบ ได้รายงานว่า เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

" مَنْ قَالَ فِي الْقُرْآنِ بِرَأْيِهِ فَقَدْ أَخْطَأَ "

(ผู้ใดได้อธิบายความหมายอัลกุรอานจากความคิดของเขา แน่นอนเขาได้กระทำในสิ่งที่ผิด)

        หะดีษนี้บันทึกโดย อะบูดาวูด อัตติรมีซีย์และอันนะซาอีย์ จากหะดีษที่รายงานผ่าน ซุไฮล์ อิบนุ อาบูหัซมฺ อัลกุฏอีย์ และอัตติรมีซีย์กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษเฆาะรีบ(غريب)[3] นักวิชาการบางคนได้พูดถึงฐานะการรายงานหะดีษของซุไฮล์ (อะบูดาวูด : 3652, อัตติรมีซีย์ : 2953, อันนะซาอีย์ : 8086) 
         และจากการรายงานของพวกเขาเหมือนกัน ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

"مَنْ قَالَ فِي كِتَابِ اللَّهِ بِرَأْيِهِ، فَأَصَابَ، فَقَدْ أَخْطَأَ"

(ผู้ใดได้ให้ความหมายในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(อัลกุรอาน)ด้วยความเห็ฯของเขา แม้จะถูกต้อง แน่นอนเขาได้กระทำในสิ่งที่ผิด)

        หมายถึง เขาพยายามในสิ่งที่เขาไม่ความรู้ และเดินไปบนแนวทางที่ไม่ใช่แนวทางของที่ควรเดิน ถ้าความหมายถูกต้องตามที่จะเป็นก็ยังถือว่าเขาได้กระทำผิด เพราะเขาไม่ได้นำมาจากช่องทางของสิ่งนั้น แต่ความผิดนั้นบาปไม่มากนัก -อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ที่สุด- อัลลอฮฺให้ชื่อคนที่ใส่ความคนอื่น(โดยไม่ได้นำพยานมายืนยัน)ว่า คนพูดเท็จ พระองค์ได้ตรัสว่า

فَإِذۡ لَمۡ يَأۡتُواْ بِٱلشُّهَدَآءِ فَأُوْلَٰٓئِكَ عِندَ ٱللَّهِ هُمُ ٱلۡكَٰذِبُونَ (١٣)

[หากพวกเขาไม่นำพยานเหล่านั้นมาแล้ว ดังนั้นคนเหล่านั้น ณ ที่อัลลอฮฺ พวกเขาเป็นผู้กล่าวเท็จ](อันนูร 24:13)

        การใส่ความคือการพูดเท็จ แม้ว่าคนที่เขาใส่ความว่าได้พระพฤติผิดทางเพศ(ซีนา) หรือเขาได้ทำการซีนาจริง เพราะเขาได้บอกข่าวในสิ่งที่ไม่เป็นที่อนุญาต(หะลาล)สำหรับเขา ทั้งๆที่เขารู้จริงในสิ่งนั้น แต่เขาก็พยายามทำตัวว่ารู้ในสิ่งที่เขาไม่มีความรู้. วัลลอฮุอะลัม 
        ด้วยเหตุนี้ทำให้อุลามาอฺชะลัฟจึงมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับพวกเขาที่จะให้พวกเขาอธิบายความหมายอัลกุรอานในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง อย่างที่อัชชุอฺบบะฮฺได้รายงานว่า มีรายงานจากสุไลมาน จากอับดุลลอฮฺ อิบนุ มุรฺเราะฮฺ ว่า อะบูมุรเราะฮฺ ได้กล่าวว่า อะบูบักรฺ อัศศิดดีก-เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ- ได้กล่าวว่า “แผ่นดีไหนที่จะพาฉัน(ให้ฉันได้อาศัยอยู่) และฟ้าไหนที่จะร่มเงาแก่ฉัน ถ้าฉันกล่าวในอัลกุรอานในสิ่งที่ฉันไม่รู้(อัฏเฏาะบะรีย์ : 1/78) 
        อะบู อุไบดุลกอซิม อิบนุซะลาม ได้กล่าวว่า มุหัมมัด อิบุ ยะซีด ได้บอกแก่เราว่า เอาวาม อิบนุ เฮาชัม ได้รายงานว่า อิบรอฮีม อัตตัยมีย์ ได้รายงานว่า มีคนถาม อะบู บักรฺ อัซซิดดีก ความหมายของอายะฮฺ ﴾وَفَٰكِهَةٗ وَأَبّٗا﴿  (และผลไม้และทุ่งหญ้า) (อะบะซะ 80:31) 
        ท่านอะบูบักรฺ กล่าวว่า “ฟ้าไหนที่จะร่มเงาให้แก่ฉัน แผ่นดินที่จะพาฉันไป(ให้ฉันอยู่) ถ้าฉันกล่าวในอัลกุรอานในสิ่งที่ฉันไม่รู้”  มุงเกาะติอฺ[4] (อิบนุ ไชบะฮฺ : 10/513) 
        อะบู อุไบดุลกอซีม ได้กล่าวเช่นกันว่า ยะซีด ได้บอกแก่เราว่า หุไมด์ ได้รายงานว่า อะนัซ ได้รายงานว่า อุมัรฺ อิบนุค็อฏฏ็อบ ได้อ่านบนมิมบัรฺ(แท่นให้คำโอวาท) ว่า﴾وَفَٰكِهَةٗ وَأَبّٗا﴿(และผลไม้และทุ่งหญ้า) (อะบะซะ 80:31) 
        ท่านกล่าวว่า فَٰكِهَةٗ  (ผลไม้) เรารู้ความหมายของมัน แต่ أَبَّ คืออะไร” แล้วอุมัรฺได้หันกลับมาบอกแก่ตัวเองว่า “นี้อุมัรฺ สิ่งเท้าได้ทำนั้นเป็นการพยายามให้ภาระแก่ตัวเจ้า” (อัลหากิม :2/514) 
        อับดุลลอฮฺ อิบนุ หุไมด์ ได้กล่าวว่า ซุไลมา อิบนุ หัรฺบิน ได้บอกแก่เราว่า หัมมาด อิบนุยะซีด ได้รายงานว่า ษาบิท ได้รายงานว่า อะนัซ กล่าวว่า : พวกเราอยู่กับ อุมัรฺ อิบนุค็อฏฏ็อบ -เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ- และบนเสื้อของท่านมีอยู่ 4 ชิ้น แล้วท่านก็อ่าน  ว่า﴾وَفَٰكِهَةٗ وَأَبّٗا﴿ (และผลไม้และทุ่งหญ้า) (อะบะซะ 80:31) 
        ท่านถามว่า “อะไรคือ  أَبَّ?” แล้วก็ตอบเองว่า “เรื่องนี้เป็นภาระหนัก ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ไม่ผิดอะไร(อัลบุคอรีย์ : 7293) 
        ที่กล่าวมานี้สามารถกล่าวได้ว่า ทั้งสองคน อะบู บักรฺ และ อุมัรฺ อิบนุค็อฏฏ็อบ -เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา- ต้องการที่จะรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า أَبّ ในอายะฮฺนี้ เพราะโดยความหมายตามคำอย่างพื้นผิวที่เห็นอย่างชัดเจนแล้ว คือ ชนิดหนึ่ง อย่างคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

فَأَنۢبَتۡنَا فِيهَا حَبّٗا  وَعِنَبٗا

[และเราได้ให้เมล็ดพืชงอกเงยขึ้นจากในแผ่นดิน และองุ่น] (อะบะซะ 80:27-28)

        อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า ยะอฺกูบ อิบนุ อิบรอฮีม ได้บอกแก่เราว่า อิบนุ อุไลยะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า รายงานจากอัยยูบ ว่า อิบนุ อะบูมุไลกะฮฺ ได้กล่าวว่า : มีคนถาม อิบนุ อับบาซฺ เกี่ยวกับอายะฮฺอัลกุรอาน ซึ่งถ้าเขาถามพวกเจ้าบางคน อาจจะตอบคำถามนั้น แต่อิบนุ อับบาซ ไม่ตอบคำตอบคำถามนั้น. (อัฏเฏาะบะรีย์ :1/86) 
        จากสายรายงานที่น่าเชื่อถือ(เศาะหีหฺ) อะบู อุไบดฺ กล่าวว่า อิสมาอีล อิบนุอิบรอฮีม ได้บอกแก่เราว่า รายงานจากอัยยูบ อิบนุ อะบูมุไลกะฮฺ ได้กล่าวว่า : ชายคนหนึ่งได้ถามอิบนุ อับบาซฺ  เกี่ยวกับอายะฮฺอัลกุรอานที่ว่า ﴾يَوۡمٖ كَانَ مِقۡدَارُهُۥٓ أَلۡفَ سَنَةٖ﴿ (ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปี) (อัซซะญะดะฮฺ 32:5)             อิบนุ อับบาซฺ ได้ถามเขาว่า แล้วอายะฮฺที่ว่า ﴾يَوۡمٖ كَانَ مِقۡدَارُهُۥ خَمۡسِينَ أَلۡفَ سَنَةٖ﴿ (ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี) (อัลมะอาริจญฺ 70:4) หมายถึงอะไร? 
        ชายคนนั้นตอบว่า : ฉันถามท่าน ให้ท่านบอกความหมายแก่เรา
        อิบนุ อับบาซ ตอบว่า “
ทั้งสองวันอัลลอฮฺได้ตรัสในคัมภีร์ของพระองค์(อัลกุรอาน) อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ความหมายจริงของสองวันที่พระองค์ตรัสมา” 
        อิบนุ อับบาซ เป็นไม่ชอบให้ความหมายอายาตอัลกุรอานในสิ่งที่ท่านไม่รู้ 
        อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวอีกเช่นกันว่า ยะอฺกูบ(หมายถึง อิบนุ อิบรอฮีม) ได้บอกแก่ อุไลยะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า มะหฺดี  อิบนุ ไมมูน ได้รายงานว่า อัลวะลีด อิบนุ มุสลิม ได้กล่าวว่า : ฏ็อลกุ อิบนุ หะบีบ ได้ไปหา ญุนดุบ อิบนุ อับดุลลอฮฺ แล้วถามเกี่ยวกับอายาตในอัลกุรอาน แล้วญุนดุบ ตอบว่า “ฉันรู้สึกหนักใจมากสำหรับเจ้าในสิ่งที่เจ้าอยากได้จากฉันและเจ้าอยู่กับฉัน” หรือ เขากล่าวว่า “ฉันรู้สึกหนักใจมากที่เจ้าอยู่กับฉัน” 
        มาลิก ได้กล่าวว่า ยะหฺยา อิบนุ ซะอีด ได้รายงานว่า เมื่อมีคนถาม ซะอีด อิบนุมุไซยิบ เกี่ยวกับคำอธิบายอายะฮฺอัลกุรอาน เขาจะตอบว่า “แท้จริงแล้ว เราไม่ได้พูดสิ่งใดที่มาจากตัวเราเองเลยที่เป็นความหมายอัลกุรอาน” 
        อัลไลษ ได้กล่าวว่า มีรายงานจาก ยะหฺยา อิบนุ ซะอีด ว่า ซะอีด อิบนุ อัลมุไซยิบ ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลยที่เกี่ยวกับอัลกุรอานที่มาจากตัวเขา นอกจากสิ่งที่เป็นสิ่งเคยรับรู้มาแล้ว ชุอฺบะฮฺ ได้กล่าวว่า รายงานจาก อัมรู อิบนุ มุรเราะฮฺ ว่า มีชายคนหนึ่งได้ถาม ชะอีด อิบนุ มุไซยิบ เกี่ยวกับอายะฮฺอัลกุรอาน เขาได้กล่าวว่า “อย่าถามฉันเลยที่เกี่ยวกับความหมายอัลกุรอาน เจ้าจงถามคนที่คิดว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้” เขาหมายถึง อักริมะฮฺ อิบนุ เซาซับ ได้กล่าวว่า ยะซีด อิบนุ อะบูยะซีด ได้บอกแก่ฉันว่า : พวกเราได้ถาม ซะอีด อิบนุ มุไซยิบ เกี่ยวกับเรื่อง หะลาลและหะร็อม เขาเป็นผู้หนึ่งที่รอบรู้ในเรื่องนี้มาก แต่เมื่อเราถามเกี่ยวกับความหมายอายะฮฺอัลกุรอาน เขาจะเงียบเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยิน(ที่เราถาม) 
        อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า อะหฺมัด อิบนุ อับดุติฎฎ็อบบิยฺยุ ได้บอกแก่เราว่า หัมมาด อิบนุไซดฺ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ ได้กล่าวว่า “ฉันได้พบกับบรรดานักศาสนบัญญัติในเมืองมะดีนะฮฺ พบว่าพวกเขาถือว่าคนที่ให้ความหมายอัลกุรอานด้วยความคิดของตัวเองนี้เป็นบาปใหญ่” บรรดานักศาสนาบัญญัตินั้น เช่น ซาลิม อิบนุ อับดุลลอฮฺ, กอซิม อิบนุ มุหัมมัด, ซะอีด อบินุ มะไซซิบ และนาฟิอฺ อะบู อุไบดฺ ได้กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ ศอลิฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ไชษฺ ได้รายงานว่า ฮิชาม อิบนุ อุรวะฮฺ ได้กล่าวว่า “ฉันไม่เคยได้ยินพ่อของฉันตีความความหมายอายะฮฺอัลกุรอานเลย” 
        อัยยูบ ได้กล่าวว่า อิบนุ เอาน์ และฮิชาม อัดดัซตะวาอีย์ ได้รายงานว่า มุหัมมัด อิบนุซิรีน ได้รายงานว่า : ฉันได้ถาม อุไบดฺ อัลซัลมานีย์ เกี่ยวกับความหมายของอายะฮฺอัลกุรอาน เขาตอบว่า “คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาการประทานอายะฮฺอัลกุรอานได้จากไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจงเกรงกลัว(ตักวา)ต่ออัลลอฮฺ และเจ้าจงยึดมั่นบนแนวทางที่เที่ยงตรง (อัฏเฏาะบะรีย์ 1/86) 
        อะบู อุไบด์ได้กล่าวว่า มุอาซ ได้บอกแก่เราว่า อิบนุ เอาน์ ได้รายงานว่า จากอับดุลลอฮฺ อิบนุมุสลิม อิบนุ ยะซารฺ ได้รายงานว่า พ่อของเขาได้กล่าวว่า “เมื่อเจ้าได้พูดเกี่ยวกับอัลลอฮฺ ก็ขอให้หยุดไว้ก่อน จนกว่าเจ้าจะไปศึกษาสิ่งที่เกิดก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้น” ฮุไชมฺ ได้บอกแก่เราว่า มุฆีเราะฮฺ ได้รายงานว่า อิบรอฮีม ได้กล่าวว่า “สหายของฉันเกรงกลัวที่จะให้ความหมายอัลกุรอาน (อะบูนะอีม 4/222) 
        ชุอฺบะฮฺ ได้กล่าวว่า รายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนุ อะบูซะฟัรฺ ว่า อัชชะอฺบีย์ ได้กล่าวว่า “ข้าขอสาบนกับอัลลอฮฺ ไม่มีอายะฮฺใดที่ฉันไม่ได้ถามเกี่ยวกับความหมายของมัน แต่คำตอบที่ได้คือคำที่มาจากอัลลอฮฺ-ซุบหานะฮุวะตะอาลา-(คืออัลกุรอานหมือนกัน)” ร่องรอยหรืออะษัรที่เป็นหลักฐานจากนักวิชาการศาสนาในแรกเริ่มที่เป็นน่าเชื่อถือ(เศาะหีหฺ)ตามที่ได้กล่าวมานี้ และหลักฐานอื่นๆที่คล้ายกันที่มาจากบรรดานักวิชาการอิสลามยุคแรกเริ่มนั้นบ่งบอกถึงความหนักใจของพวกเขาให้การให้ความหมายอัลกุรอานในสิ่งที่เขาไม่รู้ ส่วนตัฟซีรฺหรือคำอธิบายด้วยความรู้ทางด้านภาษาและบทบัญญัติที่เขามีอยู่ถือว่าไม่ผิด ดังนั้นเราจะพบมีรายงานจากพวกเขาและจากคนอื่นๆที่ให้ความหมายอัลกุรอาน พบว่าไม่เป็นที่คัดแย้งใดๆ เพราะพวกเขาได้ให้ความหมายตามความรู้ที่เขามีอยู่ และพวกเขาจะเงียบหรือไม่แสดงความเห็นใดๆในสิ่งที่เขาไม่รู้ พฤติกรรมเช่นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ คือ เงียบในสิ่งที่ไม่รู้และต้องตอบคำถามความกระจ่างตามที่เขามีความรู้ เพราะอัลลอฮฺได้ตรัสว่า

لَتُبَيِّنُنَّهُۥ لِلنَّاسِ وَلَا تَكۡتُمُونَهُۥ

[แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะต้องแจกแจงคัมภีร์นั้นให้แจ่มแจ้งแก่ประชาชนทั้งหลาย และพวกเจ้าจะต้องไม่ปิดบังมัน](อาลาอิมรอน 3:187)        

        รายงานหะดีษจากหลายๆสาย ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

"مَنْ سُئِلَ عَنْ عِلْمٍ فَكَتَمَهُ، ألْجِم يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِلِجَامٍ مِنْ نَارٍ"

(ผู้ใดถูกคนใดคนหนึ่งถามเรื่องความรู้แล้วเขาปกปิดความรู้ที่เขามีอยู่นั้น ปากของเขาจะล่ามด้วยบังเหียนจากไฟนรก) (อะหฺมัด : 2/263, อาบูอาวูด : 3658, อัตติรมีซีย์ : 2649, อิบนุมาญะฮฺ : 261)

        ส่วนหะดีษที่รายงานจาก อะบูญะอฺฟัรฺ อิบนญะรีรฺ เขากล่าวว่า อับบาซ อิบนุ อับดุลอาซีม ได้บอกแก่เราว่า มุหัมมัด อิบนุ คอลิด อิบนุ อัษมะฮ ได้บอกแก่เราว่า ญะอฺฟัรฺ อิบนุ มุหัมมัด อิบนุ อัซซุไบรี ได้บอกว่าแก่เราว่า ฮิชาม อิบนุ อุรวะฮฺ ได้บอกแก่ฉันว่า บิดาของฉันได้บอกแก่ฉันว่า ท่านหญิงอาอีชะฮฺ ได้กล่าวว่า “ท่านนบีไม่อธิบายความหมายอัลกุรอาน(ตัฟซีรฺ) นอกจากไม่กี่อายาตที่มะลาอิกะฮฺญิบรีลได้มาสอนท่าน” แล้วอะบูญะอฺฟัร ได้รายงานอีกว่า ได้รับรายงานจาก อะบู บักรฺ มุหัมมัด อิบนุ ยะซีด อัฏฏ็อรฺซูซี จาก มะอัน อิบนุ อีซา จาก ยะอฺฟัรฺ อิบนุ คอลิด จากฮิชาม ด้วยบทหะดีษที่เหมือนกับนี้ (อะบู ยะอฺลา : 8/23) หะดีษนี้เป็นหะดีษมุงกัรฺ[5]และเฆาะรีบ อะบูญะอฺฟัร คนนี้ คือ บุตรมุหัมมัด อิบนุ คอลิด อิบนุ ซุไบร์ อิบนุ อัลอะวาม อัลกุรชีย์ อัลซุไบรีย์ อิมามอัลบุคอรีย์ ได้กล่าวถึงอะบูญะอฺฟัรฺนี้ว่า : อย่าไปตามหะดีษเขา และอัลหาฟิซ อะบู อัลฟัตหฺ อัลอัซดี กล่าวว่า เป็นคนรายงานหะดีษมุงกัรฺ อิมาม อะบูญะอฺฟัรฺ ได้พูดในเรื่องนี้ว่า อายาตที่ได้กล่าวถึงนี้ ท่านไม่สามารถที่จะรับรู้ความหมายมันได้ นอกจาได้รับรู้ความหมายจากอัลลอฮฺ-ซุบฮานะฮุวะตะอาลา- ที่ได้สอนมาผ่านมะลาอิกะฮฺญิบรีลแก่ท่าน และนับว่าเป็นการตีความที่ถูกต้องถ้าหะดีษนั้นถูกต้องเพราะแท้จริงแล้วความหมายอัลกุรอานมีบางส่วนที่อัลลอฮฺเท่านั้นรู้ความหมายที่แท้จริง บางส่วนนักวิชาการ(อุลามาอฺ)ที่รู้ในความหมายนั้น บางส่วนคนอาหรับก็สามารถรับรู้ได้ด้วยภาษาของเขา และบางส่วนไม่อภัยให้แก่ใครเลยถ้าเขาจะอ้างว่าเขาไม่รู้ อย่างที่อิบนุอับบาซได้ให้ความกระจ่างไว้ตามที่อิบนุญะรีรฺได้กล่าวไว้ว่า มุหัมมัด อิบนุ บะชารฺ ได้บอกแก่เราว่า มุอัมมัล ได้บอกแก่เราว่า ซุฟยาน ได้บอกแก่เราว่า อะบู อัซซะนาด ได้รายงานจาก อัลอะอฺร็อจ ว่า อิบนุอับบาซได้กล่าวว่า : การอธิบายความหมายอัลกุรอาน(ตัฟซีรฺ) มี 4 รูปแบบ คือ
  • (หนึ่ง)รูปแบบที่คนอาหรับรับรู้จากภาษาของเขา
  • (สอง)ตัฟซีรฺที่ไม่อภัยให้แก่ใครด้วยความไม่รู้ของเขา
  • (สาม)ตัฟซีรฺที่รู้ความหมายเฉพาะอุลามาอฺ
  • (สี่)และตัฟซีรฺที่ไม่ใครรู้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น (อัฏเฏาะบะรีย์ : 1/75)
        อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า : มีหะดีษที่รายงานลักษณะนี้ แต่จะต้องพิจารณาสายรายงานของหะดีษ อิบนุญะรีรฺ ได้กล่าวว่า ยูนุซ อิบนุ อับดุลอะอฺลา อัศเศาะดะฟีย์ ได้บอกแก่ฉันว่า อิบนุ วะหฺบิน ได้เล่าแก่เราว่า : ฉันได้ยิน อัมรู อิบนุ อัลหาริษ ได้เล่าหะดิษที่รายงานจาก อัลกัลบีย์ รายงานจาก อะบู ศอลิฮฺ เมาลา อุมุน ฮานีย์ ว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาซ ได้รายงานว่า ว่า เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

"أُنْزِلَ الْقُرْآنُ عَلَى أَرْبَعَةِ أَحْرُفٍ: حَلَالٌ وَحَرَامٌ، لَا يُعْذَرُ أَحَدٌ بِالْجَهَالَةِ بِهِ. وَتَفْسِيرٌ تفسره [العرب، وتفسير تُفَسِّرُهُ] الْعُلَمَاءُ. وَمُتَشَابِهٌ لَا يَعْلَمُهُ إِلَّا اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ، وَمَنِ ادَّعَى عِلْمَهُ سِوَى اللَّهِ فَهُوَ كَاذِبٌ"

(อัลกุรอานถูกประทานลงมาใน 4 รูปแบบ คือ (หนึ่ง)หะลาลและหะร็อม ไม่อภัยแก่บุคคลที่ไม่รู้ในความหมายในอัลกุรอาน ตัฟซีรฺที่คนอาหรับสามารถอธิบายความหมายได้ ตัฟซีรฺที่อุลามาอฺสามารถให้ความหมายได้ ความหมายของอัลกุรอานที่ไม่ชัดแจ้งและไม่มีใครรู้ในความหมายนั้นนอกจากอัลลอฮฺ-อัซซะวะญัล- และถ้าผู้ใดอ้างว่ารู้ในความหมายที่ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮฺนั้นเขาคือคนโกหก) (อัฏเฏาะบะรีย์ : 1/76)

        สายรายงานที่ต้องพิจารณาที่อิบนุญะรีรฺได้ให้สัญญาณไว้ คือ มุหัมมัด อิบนุ อัซซาอิบ อัลกัลบีย์ เพราะเขามัตรูกุลหะดีษ[6] แต่บางครั้งหะดีษนี้อาจเป็นหะดีษมัรฟูอฺและคำพูดนี้อาจจะเป็นคำพูดของอิบนุอับบาซเอง ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว.. วัลลอฮุอะอฺลัม

 -------------------------- 

[1] หะดีษมัรฟูอฺ(مرفوع) หะดีษที่อ้างถึงท่านนบีมูหัมมัด ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ การยอมรับ จริยธรรม และคุณลักษณะของท่านนบีมูหัมมัด
[2] หะดีษเมากูฟ(موقوف)หรืออะษัรฺ(أثر) เป็นหะดีษที่สายรายงานสิ้นสุดที่เศาหาบะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ 
[3] หะดีษเฆาะรีบ(غريب) หมายถึง  หะดีษที่มีการรายงานโดยผู้รายงานเพียงคนเดียวเท่านั้นตลอดทั้งสายรายงาน 
[4] มุงเกาะฏิอฺ(منقطع) หมายถึงหะดีษหรืออะษัรฺที่มีการรายงานไม่ต่อเนื่องกัน 
[5] หะดีษมุงกัรฺ(المنكر) หรือหะดีษน่ารังเกียจ เป็นหะดีษที่มีผู้สายรายงานที่มีความน่าเชื่อถืออ่อนแอและขัดแย้งกับหะดีษที่น่าเชื่อถือกว่า เป็นหะดีษที่อยู่ในกลุ่มไม่ควรเชื่อถือ  
[6] หะดีษมัตรูก(متروك ) คือ หะดีษที่ถูกรายงานโดยนักรายงานที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชอบโกหก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น