วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ตัฟซีรฺ อัลบะยาน : ซูเราะฮฺ อัลญิน (3) อายะฮฺที่ 18-28

 


มัสยิดและการเผยแพร่(ดะอฺวะฮฺ)จองเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)

وَأَنَّ الْمَسَاجِدَ لِلَّهِ فَلَا تَدْعُوا مَعَ اللَّهِ أَحَدًا (١٨)  

(18) และแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นมีเพื่อเป็นที่ทำการภักดี(อิบาดะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเชิญชวน/ภักดีต่อสิ่งอื่นใดกับพระองค์ 44

44 อัลหะซัน กล่าวว่า : มัสยิดในที่หมายถึงพื้นแผ่นดินทุกแห่ง นั้นหมายความว่า พื้นดินทุกแห่งนั้นคือที่ๆให้ซุญูด(กราบ) ดังนั้นพวกเจ้าก็จงอย่าซุญูดหรือกราบ(แสดงการภักดี)บนพื้นแผ่นดินไม่ว่าจะที่ไหนต่อสิ่งอื่นใดนอกเหนือจาก"อัลลอฮฺ"ผู้ทรงสร้าง (อิบนุ อัลเญาซีย์) 
หรือมัสยิดในที่นี้หมายถึงทุกแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อเศาะลาฮฺ(ละหมาด) ปฏิบัติการศาสนกิจ ภักดี(อิบาดะฮฺ)และซิกีรฺ(กล่าวระลึกถึงอัลลอฮฺ) รวมมัสยิดทุกแห่งของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม โบสถ์คริสต์และยิว (อัลคอซิน) เพราะมีคนยิวหรือคริสเตียนเมื่อพวกเขาเข้าไปในโบสถ์ หรือสถานที่นมัซการอื่นๆ พวกเขาก็จะตั้งภาคีกับอัลลอฮฺทันที ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ใช้ให้บรรดานบีของพวกเขาดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกะของอัลลอฮฺโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ในมัสยิด(หรือโบสถ์) (เกาะตาดะฮฺ)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอายะฮฺนี้
อัลลอฮฺจะหมายถึงคนมุชริกีนมักกะฮฺ ที่พวกเขาจะตั้งภาคีกับอัลลอฮฺด้วยการนำรูปปั้นต่างๆไว้บูชาในมัสยิด (อัลกุรฏุบีย์) หรือ มัสยิดในที่นี้หมายถึงอวัยวะทั้ง 7 ที่ใช้สำหรับซุญูด(กราบ) (คือ หน้าผาก มือสองข้าง เข่าสองข้าง และปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้าง) นั้นหมายความว่า พวกเจ้าจงอย่าใช้อวัยวะที่ใช้สำหรับซูญุดนั้นซูญุดที่แสดงการภักดีต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ เพราะอวัวยะทั้่ง 7 นั้นเป็นของอัลลอฮฺ (ซะอีด อิบนุ ญุไบร์) 


(١٩) وَأَنَّهُ لَمَّا قَامَ عَبْدُ اللَّهِ يَدْعُوهُ كَادُوا يَكُونُونَ عَلَيْهِ لِبَدًا 

(19) และแท้จริง เมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ(นบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ)) ลุกขึ้นเพื่อการภักดี(อิบาดะฮฺและวิงวอน)ต่ออัลลอฮฺ45 พวกเขา(ญิน)เกือบจะล้มทับกัน46

45 ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้ทำการละหมาดศุบฮฺ ณ บริเวณที่ชื่อว่า "บัตนุนนัคละฮฺ" คือ สถานที่ที่ตั้งอยู่ระหว่างมักกะฮฺกับฏออิฟ (มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ)

46 บรรดาอุลามาอฺ(นักวิชาการศาสนา) ได้อธิบายอายะฮฺนี้ออกมา 3 ความเห็นด้วยกัน คือ 

วาดี(ที่ราบลุ่ม)"อันนัคละฮฺ" อยู่ระหว่างมักกะฮฺกับอัฏฏออีฟ

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ตัฟซีรฺ อัลบะยาน : ซูเราะฮฺ อัลญิน (2) อายะฮฺที่ 1-17

 بِسۡمِ  ٱللَّهِ  ٱلرَّحۡمَٰنِ  ٱلرَّحِيمِ 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

ญินกลุ่มหนึ่งนับถือศาสนาอิสลาม

(١)قُلْ أُوحِيَ إِلَيَّ أَنَّهُ اسْتَمَعَ نَفَرٌ مِنَ الْجِنِّ فَقَالُوا إِنَّا سَمِعْنَا قُرْآنًا عَجَبًا

(1) จงกล่าวเถิด(มุหัมมัด) ได้มีวะหฺยูแก่ฉันว่า แท้จริงมีญินจำนวนหนึ่งได้ฟัง(อ่านกุรอาน) และพวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราได้ยินกุรอานที่แปลกประหลาด 29


29 عَجَبًا (แปลกประหลาด) คือ بَلِيغًا (คมคาย) หมายถึง มีการเรียบเรียงที่สวยงาม มีเนื้อหาที่ดีและภาษาที่ใช้สอดคล้องและจูงใจ (อิบนุอับบาซ) เป็นคำพูดที่สวยงาม ไม่เหมือนกับจากคำพูดของมนุษย์ ทั้งการเรียบเรียงที่สวยงามและมีความหมายที่เป็นจริง (อัลไบฎอวีย์, อันนะซะฟีย์) 


(٢)يَهْدِي إِلَى الرُّشْدِ فَآمَنَّا بِهِ ۖ وَلَنْ نُشْرِكَ بِرَبِّنَا أَحَدًا

(2) เป็นคัมภีร์ที่ชี้แนวทางที่ถูกต้อง พวกเราเลยศรัทธาต่อคัมภีร์นี้ และพวกเราไม่ตั้งสิ่งใด(หรือบุคคลใด)เป็นภาคีร่วมกับพระเจ้าของเรา

(٣)وَأَنَّهُ تَعَالَىٰ جَدُّ رَبِّنَا مَا اتَّخَذَ صَاحِبَةً وَلَا وَلَدًا 

(3) และ(จงรู้ไว้เถิด) ความจริงนั้น ความยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าของเรานั้นทรงสูงส่งยิ่ง แน่นอนพระองค์ไม่มีภรรยาและไม่มีบุตร

 

ตระหนักและปฏิเสธสิ่งที่เป็นเท็จ


(٤)وَأَنَّهُ كَانَ يَقُولُ سَفِيهُنَا عَلَى اللَّهِ شَطَطًا

(4) และ(ด้วยคำสอนจากอัลกุรอานชัดเจนว่า) แท้จริงแล้วผู้เบาปัญญาในกลุ่มพวกเราก่อนหน้านี้ (หมายถึงอิบลีซและผู้สนับสนุนอิบลิซ) ชอบกล่าวถึงอัลลอฮฺด้วยคำกล่าวที่เกินความเป็นจริง 30

  

30 หมายถึง คำพูดที่ห่างไกลความเป็นจริงมาก คือ พวกเขากล่าวว่าอัลลอฮฺมีภรรยาและลูก (อัฏฏ็อบบะรีย์, อัลไบฎอวีย์)


(٥)وَأَنَّا ظَنَنَّا أَنْ لَنْ تَقُولَ الْإِنْسُ وَالْجِنُّ عَلَى اللَّهِ كَذِبًا

(5) และแท้จริงแล้ว(เป็นที่ชัดเจนมากว่าผิดที่)เราคิดว่ามนุษย์และญินจะไม่พูดเท็จอย่างยิ่งเกี่ยวกับอัลลอฮฺ 31


31 หมายความว่า เราคิดว่าสิ่งที่มนุษย์และญินพูดเกี่ยวกับอัลลอฮฺว่า พระองค์มีภรรยา มีลูกและอื่นๆนั้นเป็นความจริง เพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะพูดเท็จเกี่ยวกับอัลลอฮฺ จนกระทั้งเราได้ยินอัลกุรอานด้วยตัวของเราเอง (อัฏเฏาะบะรีย์, อิบนุกะษีรฺ)

 (٦) وَأَنَّهُ كَانَ رِجَالٌ مِنَ الْإِنْسِ يَعُوذُونَ بِرِجَالٍ مِنَ الْجِنِّ فَزَادُوهُمْ رَهَقًا
(6) และแท้จริงเป็นรื่อง(ที่ผิดมาก)ที่กลุ่มมนุษย์ผู้ชายบางคนขอความคุ้มครองจากกลุ่มญินชายเลยทำให้กลุ่มญินเหล่าเพิ่มความโอหังและเลวร้าย 32

32 رَهَقًا คือ บาป (อิบนุอับบาซ) หมายความว่า พวกญินได้กล่าวกันว่า : ก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าเรามีความสามารถเหนือมนุษย์ เพราะมนุษย์ชอบขอความคุ้มครองจากเรา เมื่อพวกเขาเข้าไปหุบเขาหรือสถานที่เงียบสงบ และที่อื่นๆที่คล้ายกัน อย่างเช่น คนอาหรับในสมัยก่อน สมัยไร้อารยธรรมอิสลาม(ญาฮีลียะฮฺ) พวกเขาชอบจะขอความคุ้มครองจากผู้ที่เขารู้สึกว่าเป็นเจ้าที่ที่เป็นญินในสถานที่ๆนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกหลอกลวงและพวกเขาจะไม่ประสบกับสิ่งที่ไม่ดี เช่น พวกเขาจะพูดว่า "โอ้ เจ้าผู้คุ้มครองในบริเวณนี้ ฉันขอให้ท่านคุ้มครองจากเจ้าให้ห่างไกลสิ่งชั่วร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่ฉันในบริเวณนี้ด้วย" เมื่อญินรู้พฤติกรรมแบบนี้ของคนอาหรับที่ทำมาตลอด เลยทำให้ญินรู้สึกตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ โอหังและเย่อหยิง พวกเขายิ่งหลอกลวงมนุษย์ (เกาะตาดะฮฺ, มะกอติล, อิบนุเญาซีย์, อิบนุกะษีรฺ)  

 
(٧) وَأَنَّهُمْ ظَنُّوا كَمَا ظَنَنْتُمْ أَنْ لَنْ يَبْعَثَ اللَّهُ أَحَدًا
(7) และแท้จริงนั้น(ไม่เป็นความจริงที่)พวกมนุษย์คาดคิดเหมือนที่พวกเจ้าคาดคิด คืออัลลอฮฺจะไม่ส่ง(ศาสนทูต)คนใดมาแม้แต่คนเดียว 33

33  หรืออัลลอฮฺไม่ให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งในวันกิยามะฮฺ เพราะญินในสมัยก่อนปฏิเสธการฟื้นคืนชีพใหม่ในวันกิยามะฮฺ เหมือนอย่างที่พวกเจ้าปฏิเสธ โอ้..ชาวมักกะฮฺ เมื่อญินได้ฟังอัลกุรอานและพวกเขาได้รับทางนำ พวกเขาก็ยอมรับว่ามีการฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว .. แล้วพวกเจ้ายอมรับอย่างที่พวกเขายอมรับไหม ? (อันนะซะฟีย์)

ญินกับข่าวคราวจากชั้นฟ้า

ตัฟซีรฺ อัลบะยาน : ซูเราะฮฺ อัลญิน (1) บทนำ

ซูเราะฮฺ อัลญิน*

سُورَةُ الْجِنّ

بسم الله الرحمن الرحيم

มักกียะฮฺ (ประทานลงมา ณ เมืองมักกะฮฺ

ทั้งหมด 28 อายาต(โองการ)



บทนำ

ชื่อซูเราะฮฺ : ซูเราะฮฺนี้มีชื่อว่า ซูเราะฮฺ อัลญิน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับญิน เพราะในซูเราะฮฺนี้มีหลายอายาตที่ถูกถึงญิน และญินก็เป็นประชาชาติของนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) เช่นกันกับมนุษย์

เวลาที่ประทานซูเราะฮฺนี้ : ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาแก่ท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) ในช่วงเวลาที่นบีมุหัมมัดยังอยู่ที่เมืองมักกะฮฺ (1)

สาเหตุที่ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมา : อิบนุอับบาซ สหาย(เศาะหาบะฮฺ )ของนบี(ศ็อลฯ)ฯ ได้รายงานว่า : เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านได้เดินทางไปยังตลาดอุกอซฺ(سوق عكاظ) ซึ่งในเวลานั้นการเดินทางของไชฏอน(ซาตาน)ที่จะขึ้นไปฟังข่าวคราวจากฟากฟ้าอย่างที่เคยทำไม่สามารถทำได้อีก และถ้าเดินทางขึ้นไปก็จะถูกอุกาบาตที่เป็นหินไฟจะพุ่งเข้าใส่ ดังนั้นไชฏอนที่ไม่สามารถเดินทางขึ้นไปยังชั้นฟ้าได้นั้นก็กลับมารายงานแก่พรรคพวกของเขา พรรคพวกของเขาก็ถามว่า "ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนั้น" เขาตอบว่า "เราถูกขัดขวางที่จะไปรับฟังข่าวคราวจากชั้นฟ้า และมีอุกาบาตที่เป็นดาวหินไฟพุ่งยิงเรา" พวกเขาก็กล่าวว่า "สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่มีบางอย่างเกิดขึ้นบนโลกนี้ ดังพวกเจ้าจงไปหาสาเหตุทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก" ญินกลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปยังเมืองตะฮามะฮฺ แล้วตรงไปยังตลาดอุกอซฺ พวกเขาได้เห็นเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กำลังละหมาดศุบฮฺกับบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านอยู่บริเวณ"นัคละฮฺ" และพวกญินเหล่านั้นก็ได้ยินอัลกุรอาน(ที่เราะซูลุลลอฮฺกำลังอ่านในละหมาดอยู่) พวกเขาก็กล่าวว่า "นี้คือสิ่งที่ขวางกั้นเรากับข่าวคราวจากชั้นฟ้า" หลังจากพวกเขาก็กลับไปหาพรรคพวกของเขาและกล่าวว่า "โอ้ พรรคพวกของฉัน แท้จริงแล้วเราได้ยินอัลกุรอานที่ให้ความแปลกใจแก่เรามาก(เป็นคัมภีร์)ที่ให้แนวทางที่เที่ยงธรรม แล้วพวกเราก็ศรัทธาในแนวทางนั้น และเราจะไม่ตั้งภาคีใดๆกับพระเจ้าของเราอีกเด็ดขาก" อัลลอฮฺจึงได้ประทานวะหฺยูแก่นบี(ศ็อลฯ) อายะฮฺที่ว่า ... قُلۡ  أُوحِيَ  إِلَيَّ ...  (จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ได้มีวะหฺยฺูมายังฉันว่า...) จนจบอายะฮฺ (2)


เนื้อหาหลัก :

ส่วนหนึ่งของเนื้อหาหลักในซูเราะฮฺอัลญินนี้ ประกอบด้วย

  1. ซูเราะฮฺนี้ได้ระบุว่ามีญินมาฟังและศรัทธาในอัลกุรอาน และญินเป็นประชาติของนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) เช่นเดียวกันกับมนุษย์
  2. ซูเราะฮฺนี้ได้ระบุเช่นกันว่านบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ)ได้เผยแพร่ศาสนาอิสลามแก่ญิน และญินก็ได้เชิญชวน(ดะอฺวะฮฺ)พรรคพวกของเขาเข้ารับอิสลาม
  3. ญินก็เหมือนมนุษย์ มีกลุ่มหนึ่งศรัทธาในอิสลาม มีกลุ่มที่ปฏิเสธ และในกลุ่มญินมีหลายกลุ่มหลายทัศนะที่แตกต่างกัน
  4. ความเชื่อที่ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงก็มีอยู่ในกลุ่มของพวกญิน และความเชื่อเหล่านั้นถูกปัดออกไปหลังจากที่พวกเขาได้รู้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับการขอช่วยเหลือจากญินด้วยกันหรือจากมนุษย์ให้ห่างไกลจากหายนะและภัยภิบัติ
  5. ซูเราะฮฺนี้ได้ระบุถึงความจริงที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า อุกาบากหรือดาวตกทำหน้าที่ยิงใส่ญินที่พยายามขึ้นไปชั้นฟา สถานะความสัมพันธ์ระหว่างญินกับข่าวคราวจากท้องฟ้าก่อนและหลังที่นบีมุหัมมัดได้บังเกิดขึ้น
  6. มัสยิด คือ สถานที่ทำศาสนากิจแสดงถึงการภักดีที่มีขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ(อิคลาศ)ต่ออัลลอฮฺพระองค์เดียวเท่านั้น
  7. ยืนยันและยืนหยัดบนความเป็นจริงของอิสลาม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ได้รับปัจจัย(ริซกี)มากมายจากอัลลอฮฺ และปัจจัยที่มากมายเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบจากอัลลอฮฺ
  8. หน้าที่ของศาสนทูต(เราะซูล)ของอัลลอฮฺ คือ เผยแพร่วะหฺยูหรือบทบัญญัติจากอัลลอฮฺ และเชิญชวนมนุษย์สู่อิสลาม ไม่ใช่ให้โทษหรือให้คุณแก่มนุษย์
  9. วิธีการป้องกันและการช่วยเหลือของอัลลอฮฺที่มีต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์ คือ พระองค์จะส่งบรรดามะลิอิกะฮฺของพระองค์ปกป้องและป้องกันพวกเขาจากการพยายามกีดกันของไชฏอนในเวลาที่พวกเขาเผยแพร่คำสั่งสอนของอัลลอฮฺ
  10. ไม่มีใครรู้สิ่งเร้นลับได้นอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺไม่บอกสิ่งเร้นลับเหล่านั้นแก่ใครเลยนอกจากแก่บรรดาเราะซูลหรือศาสนาทูตที่พระองค์ทรงประสงค์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับญิน 

"ญิน" คือ อะไร

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 224 (329) : ความสะอาด(เฎาะหาเราะฮฺ) จำเป็นสำหรับการทำละหมาด






حَدَّثَنَا سَعِيدُ بْنُ مَنْصُورٍ وَقُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ وَأَبُو كَامِلٍ الْجَحْدَرِيُّ وَاللَّفْظُ لِسَعِيدٍ قَالُوا حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ عَنْ سِمَاكِ بْنِ حَرْبٍ 

عَنْ مُصْعَبِ بْنِ سَعْدٍ قَالَ 

دَخَلَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عُمَرَ عَلَى ابْنِ عَامِرٍ يَعُودُهُ وَهُوَ مَرِيضٌ فَقَالَ أَلَا تَدْعُو اللَّهَ لِي يَا ابْنَ عُمَرَ قَالَ إِنِّي سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ 

"لَا تُقْبَلُ صَلَاةٌ بِغَيْرِ طُهُورٍ وَلَا صَدَقَةٌ مِنْ غُلُولٍ"

وَكُنْتَ عَلَى الْبَصْرَةِ 

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى وَابْنُ بَشَّارٍ قَالَا حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ حَدَّثَنَا شُعْبَةُ ح وَحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا حُسَيْنُ بْنُ عَلِيٍّ عَنْ زَائِدَةَ ح قَالَ أَبُو بَكْرٍ وَوَكِيعٌ عَنْ إِسْرَائِيلَ كُلُّهُمْ عَنْ سِمَاكِ بْنِ حَرْبٍ بِهَذَا الْإِسْنَادِ عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِمِثْلِهِ


ความว่า : 

ซะอีด อิบนุ มันศูรฺ, กุไตบะฮฺ อิบนุซะอีด และอะบู กามิล อัลญะหฺดะรีย์ได้บอแก่าด้วยคำกล่าวของซะอีดว่า อะบูอะวานะฮฺ ได้รับรายงานจาก ซิมาก อิบนุ หะซบิน ว่า จาก มุศอับ อิบนุซะอีด ว่า

อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ ได้เข้าไปเยี่ยม อาลี อิบนุอามิรฺที่ป่วยอยู่ แล้วอาลีก็ได้กล่าวว่า

"ท่านได้ขอพรจากอัลลอฮฺเพื่อฉันไหม โอ้..อิบนุอุมัรฺ" 

อิบนุอุมัรฺ ตอบว่า

ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) กล่าวว่า : 

หะดีษเศาะหีหฺมุสลิม 223 (328) : บท การทำความสะอาด เรื่อง ความสำคัญของการอาบน้ำละหมาด




บท การทำความสะอาด

เรื่อง ความสำคัญของการอาบน้ำละหมาด 


 حَدَّثَنَا إِسْحَقُ بْنُ مَنْصُورٍ حَدَّثَنَا حَبَّانُ بْنُ هِلَالٍ حَدَّثَنَا أَبَانُ حَدَّثَنَا يَحْيَى أَنَّ زَيْدًا حَدَّثَهُ أَنَّ أَبَا سَلَّامٍ حَدَّثَهُ 

عَنْ أَبِي مَالِكٍ الْأَشْعَرِيِّ قَالَ 

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ 

الطُّهُورُ شَطْرُ الْإِيمَانِ وَالْحَمْدُ لِلَّهِ تَمْلَأُ الْمِيزَانَ وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَالْحَمْدُ لِلَّهِ تَمْلَآَنِ أَوْ تَمْلَأُ مَا بَيْنَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَالصَّلَاةُ نُورٌ وَالصَّدَقَةُ بُرْهَانٌ وَالصَّبْرُ ضِيَاءٌ وَالْقُرْآنُ حُجَّةٌ لَكَ أَوْ عَلَيْكَ كُلُّ النَّاسِ يَغْدُو فَبَايِعٌ نَفْسَهُ فَمُعْتِقُهَا أَوْ مُوبِقُهَا

ความว่า 

อิสหาก อิบนุ มันศูรฺ ได้บอกแก่เราว่า ฮับบาน อิบนุ ฮิลาล ได้บอกแก่เราว่า อาบาน ได้บอกแก่เราว่า ยะหฺยา ได้บอกแก่เราว่า ไซดฺ ได้รายงานว่า อะบู ซัลลาม ได้รายงานแก่เขาว่า บิดาของเขา มาลิก อัลอัซอะรีย์ ได้กล่าวว่า

เราะซูลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า 

"การทำความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา(อีมาน)

และ(คำกล่าวสรรเสริญ)อัลหัมดุลิลลาฮฺ จะเติมเต็มตาชั่ง(ความดี)

คำกล่าวซุบหานัลลอฮฺ(มหาบริสุทธิ์เป็นของพระองค์)และอัลหัมดุลิลลาฮฺ ทั้งสองเติมเต็มหรือเติมเต็มระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน

การละหมาดเป็นรัศมีสว่าง

การบริจากทานเป็นพยาน

ความอดทนให้แสงสว่าง

และอัลกุรอานเป็นหลักฐานแก่เจ้าหรือสำหรับเจ้า

มนุษย์ทุกคนก้าวขา(ออกไป)ขายตัวเขาเอง เพื่อปลดปล่อยตัวเอง(ให้เป็นที่รักของอัลลอฮฺ) หรือทำลายตัวเอง" 


วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เทคนิคการสอนตามแนวทางของท่านนบี(ศ็อลฯ) (1)

 


" إنما بعثت معلما "
(แท้จริงฉันถูกส่งมาเป็นครู)(1)
   
الحمد لله رب العالمين و الصلاة و السلام على اشرف المرسلين و سيد المربين نبينا محمد صلى الله عليه وسلم وآله وصحبه أجمعين: أما بعد ..
มวลการสรรเสริญเป็นของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก คำอธิษฐานและขอสุขสันติจงมีแด่ผู้ส่งสารที่มีเกียรติที่สุด ผู้นำของผู้ให้การศึกษา ท่านนบีของเรามูฮัมหมัด  ขอให้คำอธิษฐานของอัลลอฮฺและสันติสุขมีแด่ท่าน ครอบครัวของท่านและสหายของท่านทั้งมวล

อะบู ริฟาอะฮฺ (เราะฎิฯ) ได้รายงานว่า 

انْتَهَيْتُ إلى النبي صلى الله عليه وسلم وهو يَخْطُبُ فقلت: يا رَسُولَ اللَّهِ رَجُلٌ غَرِيبٌ جاء يَسْأَلُ عن دِينِهِ لَا يَدْرِي ما دِينُهُ. قال: فَأَقْبَلَ عَلَيَّ رسول اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَتَرَكَ خُطْبَتَهُ حتى انْتَهَى إلي، فَأُتِيَ بِكُرْسِيٍّ حَسِبْتُ قَوَائِمَهُ حَدِيدًا، قال: فَقَعَدَ عليه رسول اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَجَعَلَ يُعَلِّمُنِي مِمَّا عَلَّمَهُ الله، ثُمَّ أتى خُطْبَتَهُ فَأَتَمَّ آخِرَهَا.

(ฉันได้ไปหาทานนบี  ระหว่างที่ท่านกำลังเทศนาอยู่ ฉันก็ถามท่านว่า "โอ้เราะซูลุลลอฮฺ มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งถามเกี่ยวกับศาสนาของเขา เขาไม่รู้เลยว่าศาสนาของเขาคืออะไร" แล้วท่านเราะซูลุลลอฮฺก็หันมาหาฉัน และท่านก็ได้หยุดการกล่าวเทศนาที่ท่านกำลังเทศนาอยู่ แล้วเดินมาถึงตัวฉัน แล้วมีคนเอาเก้าอี้มาให้ท่าน ฉันคิดว่าขาเก้าอี้นั้นทำด้วยเหล็ก แล้วท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็นั่งบนเก้าอี้นั้น จากนั้นท่านก็สอนฉันอย่างที่อัลลอฮฺได้สอนท่าน เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ลุกไปเทศนาต่อจนจบ)(2)

จากหะดีษนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า หน้าหนึ่งที่ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของท่านนบี(ศ็อลฯ) คือ การสอนเพื่อนมนุษย์ ดังนั้นเราสามารถที่จะสรุปได้ดังนี้
  1. เมื่ออัลลอฮฺได้ส่งท่านนบี ﷺ เป็นศาสนทูตของพระองค์ ในการชี้แนะ สอนสั่งมนุษย์ให้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ตามหน้าที่หลักที่ทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้นทุกการกระทำและคำพูดของท่านนบี(ศ็อลฯ)จริงแล้วท่านไม่ได้พูดเอง แต่เป็นคำบัญชามาจากอัลลอฮฺ ที่พระองค์ได้ผลใจผ่านท่านนบี ﷺ พระองค์กล่าวในคัมภีร์ขอพระองค์เกี่ยวกับคำพูดของท่านนบี ﷺ ว่า
    وَمَا يَنطِقُ عَنِ ٱلۡهَوَىٰٓ   إِنۡ هُوَ إِلَّا وَحۡيٞ يُوحَىٰ 
    (และเขามิได้พูดตามอารมณ์ สิ่ง(ที่เขาพูด)นั้น มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮียฺที่ถูกประทานลงมา)(3)
  2. พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ได้บัญญัติให้มนุษย์อยู่บนโลกนี้ตามแนวทางที่พระองค์กำหนดด้วยการให้ทำตามที่ศาสนทูตของพระองค์ได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่าง พระองค์ตรัสว่า
     لَّقَدۡ كَانَ لَكُمۡ فِي رَسُولِ ٱللَّهِ أُسۡوَةٌ حَسَنَةٞ لِّمَن كَانَ يَرۡجُواْ ٱللَّهَ وَٱلۡيَوۡمَ ٱلۡأٓخِرَ وَذَكَرَ ٱللَّهَ
    كَثِيرٗا 

    (โดยแน่นอน ในรอซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก)(4) 
    และพระองค์ก็ได้ให้ท่านนบี ﷺ กล่าวยืนยันแก่เพื่อนมนุษย์โดยที่พระองค์ก็ได้ตรัสว่าท่านนบีก็ได้กล่าวว่า
    قُلۡ إِن كُنتُمۡ تُحِبُّونَ ٱللَّهَ فَٱتَّبِعُونِي يُحۡبِبۡكُمُ ٱللَّهُ وَيَغۡفِرۡ لَكُمۡ ذُنُوبَكُمۡۚ وَٱللَّهُ غَفُورٞ رَّحِيمٞ 
    (จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ)(5)
  3. ด้วยอิทธิพลของโลกตะวันตกทำให้เราได้ห่างไกลจากแนวทางการให้การศึกษาตามแนวทางของท่านนบี ﷺ ตามที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ ส่วนใหญ่แล้วทั้งโลกมุสลิมและสากลโลกทั่วไปจะยึดแนวทางการการให้การศึกษาตามรูปแบบที่ตะวันตกกำหนด เราไม่ได้เจาะลึกที่จะศึกษาเรื่องการศึกษานี้ตามแนวทางของท่านนบี ﷺ และส่วนใหญ่แล้วมุสลิมยุคหลังๆ จะศึกษาอิสลามมุ่งเน้นวิธีการทำการภักดีหรืออิบาดัตต่ออัลลอฮฺเป็นส่วนใหญ่ ละทิ้งและไม่ค่อยจะศึกษาทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวกับการศึกษาตามแนวทางของท่านนบี 
  4. ด้วยความเมตตาที่อัลลอฮฺประทานมาให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม เราจึงพบว่าคนยุโรปโดยเฉพาะยิวไซออนิซมีความพยายามและความเก่งกาจในการศึกษาหาทฤษฎีต่างเกี่ยวกับการศึกษาและมนุษย์ทั่วโลกก็พลอยเห็นด้วยนำไปปฏิบัติใช้ ซึ่งในบางครั้งก็จะพบว่าถูกบ้างผิดบ้างตามขีดจำกัดที่อัลลอฮฺมอบหมายความสามารถแก่พวกเขา ทำให้ทฤษฎีต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงกันอยู่เสมอ เพราะพวกเขาศึกษามนุษย์โดยไม่ได้ยึดหลักความเป็นมนุษย์ตามที่อัลลอฮฺได้สร้างขึ้นมา
แนวทางการให้การศึกษาและเทคนิคการเรียนการสอนที่ท่านนบีใช้อบรมและสั่งสอนบรรดาเศาะหาบะฮฺรวมถึงมวลมนุษย์ ด้วยวิธีการพูดคุย การทำเป็นแบบอย่างและปฏิกริยาตอบสนองในเวลาการจัดการศึกษา พอที่จะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้
  1. ความบริสุทธิ์ใจ
  2. นุ่มนวลและโอนโยน 
  3. แบบอย่างที่ดีและมารยาทที่งดงาม
  4. ทดสอบผู้เรียน
  5. กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
  6. อธิบายให้ความกระจ่างด้วยวิธีที่หลากหลาย
  7. คว้าโอกาสในการให้การศึกษา
  8. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สนุกสนานและละเล่นกับผู้เรียน
  9. ให้คำตักเตือน
  10. โน้มน้าวและข่มขู่(الترغيب والترهيب)
  11. ศึกษาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง
  12. สร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน
  13. ให้ความสำคัญกับผลที่ผู้เรียนได้รับ
  14. ส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกฝน
  15. กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดไตร่ตรอง
  16. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
  17. สอนตามลำดับขั้นจากง่ายไปหายาก
  18. ส่งเสริมให้ผู้เรียนตั้งคำถาม
  19. หลีกเลี่ยงการพูดในสิ่งที่ไม่รู้
  20. หลีกเลี่ยงความเบื่อยหนาย
  21. สรุปแล้วลงรายละเอียด
  22. ถือโอกาสรับผลประโยชน์จากคนอื่น
  23. ยกย่องและสรรเสริญผู้เรียน
  24. นำเสนอความรู้แก่ผู้เรียน
รายละเอียดและตัวอย่างที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างในแต่ละข้อข้างบนนั้นจะกล่าวในตอนต่อไป 
------------------------------------- 
(1) เศาะหีหฺมุสลิม, 4/164, รายงานโดยอะบูนะอีม
(2) มุสลิม, 876
(3) ซูเราะฮฺ อันนัจญมิ 53:3-4
(4) ซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ 33:21
(5) ซูเราะฮฺ อาลาอิมรอน 3:31

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สรุปอรรถาธิบายอัลกุรอาน : 001 อัลฟาติกะฮ 01

 ซูเราะฮฺ อีลฟาติหะฮฺ : سورة الفاتحة



بِسْمِ ٱللَّهِ ٱلرَّحْمَٰنِ ٱلرَّحِيمِ ﴿١﴾
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ٱلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ ٱلْعَٰلَمِينَ ﴿٢﴾
การสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
ٱلرَّحْمَٰنِ ٱلرَّحِيمِ ﴿٣﴾
ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
مَٰلِكِ يَوْمِ ٱلدِّينِ ﴿٤﴾
ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทน
إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ ﴿٥﴾
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ
ٱهْدِنَا ٱلصِّرَٰطَ ٱلْمُسْتَقِيمَ ﴿٦﴾
ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง
صِرَٰطَ ٱلَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ ٱلْمَغْضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا ٱلضَّآلِّينَ ﴿٧﴾
(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด


เจตนารมณ์ประทานซูเราะฮฺ

ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเพื่อยืนยันความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮฺ และความสมบูรณ์ในทุกส่วนของการภักดีที่มีต่อพระองค์เท่านั้น 

อรรภาธิบายความหมาย

ซูเราะฮฺนี้หรือบทนี้ของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีชื่อว่า "อัลฟาฏิหะฮฺ" (แปลว่า ผู้เปิด) เพราะเป็นการเปิดพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน นอกจากนี้ซูเราะฮฺนี้ยังมีชื่ออื่นอีก เช่น "อุมมุลอัลกุรอาน:أم القرآن"(มารดาของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน) เพราะเนื้อหาและสาระในเรื่องนี้จะครอบคลุมถึงเนื้อหาทั้งหมดในอัลกุรอานโดยภาพรวม ที่ประกอบด้วย ความศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ การภักดี รวมถึงการกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆบางเรื่องในอัลกุรอานและเรื่องอื่นๆ

ซูเราะฮฺนี้นับเป็นซูเราะฮฺที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งซูเราะฮฺหนึ่ง เพราะเป็นซูเราะฮฺเดียวที่มุสลิมจะต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆครั้งในเวลาหนึ่งวัน โดยเฉพาะในเวลาละหมาด

  1. เริ่มต้นด้วยการขอพึ่งพิงอัลลอฮฺ ด้วยการกล่าว "ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ" หรือ "ด้วยอัลลอฮฺ" ผู้ทรงเมตตา กรุณา และปราณีเสมอ ที่มีต่อมนุษย์และทุกทรัพย์สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ด้วยการประทานให้สิ่งต่างๆอย่างใหญ่หลวง
  2. สรรเสริญที่สมบูรณ์แบบต่ออัลลฮฺที่พระองค์ทรงทรงให้บังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ไร้สาระ พระองค์ทรงครอบครอง ทรงจัดการและดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างมีประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์
  3. ผู้ทรงเมตตา ประทานให้ปัจจัยต่างๆแก่มนุษย์ทั้งที่เป็นผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์และผู้ปฏิเสธ
  4. พระองค์ผู้ทรงครอบครอง ทรงมีอำนาจและทรงอภิสิทธิ์เด็ดขาดในวันตอบแทนการกระทำของมนุษย์บนโลกนี้ คือ ในวันสิ้นโลกหรือวันกิยามะฮฺ วันนั้นใครสร้างอะไร ทำอะไรไว้บนโลกนี้ก็จะได้รับการตอบแทนที่สาสมตามที่ได้กระทำ ถ้าทำดีผลที่ได้คือความสุขสบายในสวนสวรรค์ ถ้าทำชั่วหรือไม่ตรงตามที่พระองค์ได้สร้างเขามา การตอบแทนที่เขาได้รับคือการทรมานอันแสนเจ็บปวดในนรก
  5. ต่อพระองค์เท่านั้นที่เราภักดี ในทุกรูปแบบของการแสดงการภักดีหรือการทำอิบาดัต เราทำเพื่อพระองค์เท่านั้น และทำตามที่พระองค์ทรงใช้ให้ทำและหางไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม สื่อกับพระองค์โดยตรง ไม่มีสื่ออื่นมาขวางกั้นหรือสื่อสารกั้นระหว่างเรากับพระองค์ และไม่ตั้งภาคีใดๆต่อพระองค์ นอกจากนี้บรรดาการขอความช่วยเหลือต่างๆ เราขอความช่วยเหลือต่อพระองค์เท่านั้น ความดีงามต่างๆที่เราต้องการอยู่ในมือของพระองค์เท่านั้น เราไม่ขอต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์
  6. ขอพระองค์ทรงให้ทางนำที่ถูกต้องเที่ยงตรงแก่พวกเรา นั้นแนวทางอิสลาม และให้พวกเรามั่นคงอยู่บนแนวทางนั้นด้วย 
  7. แนวทางที่พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเขา เช่น บรรดาบรรดา บรรดาผู้เชื่อมั่นในความศรัทธา ศิดดีกีน บรรดาชะฮีด ศอลิหีน และคนที่ได้รับความดีงามจากพระองค์ ไม่ใช่แนวทางของผู้ที่พระองค์ทรงกริ้วโกรธพวกเขา พวกเขารู้ความจริงทุกอย่างแต่พวกเขาปฏิเสธ อย่างพวกคนยิว และไม่ใช่แนวทางของคนที่หลงทางจากแนวทางที่พระองค์ประทานให้แก่พวกเขาด้วยแนวทางที่ถูกต้องแต่พวกเขาไปแก้ไขและทำตามแนวทางที่พวกเขาต้องการ อย่างพวกนัศรอนีย์หรือชาวคริสต์ 
สรุปบทเรียนที่ได้จากอายาตเหล่านี้
  1. เริ่มต้นอัลกุรอานด้วยการอ่าน "บิสมิลลาฮิรฺเราะฮฺมานิรฺเราะหีม بسم الله الرحمن الرحيم" ดังนั้น ทุกการงาน การกระทำ การพูด ควรจะเริ่มต้นด้วยการกล่าวบิสมิลลาฮฺฯ เป็นการขอความช่วยเหลือจากพระองค์และความเห็นชอบของพระองค์
  2. การร้องขอควรเริ่มต้นด้วยสรรเสริญอัลลอฮฺจากนั้นจึงร้องขอในสิ่งที่ต้องการ
  3. ตักเตือนมุสลิมให้ห่างไกลจากการเบี่ยงเบนความจริงอย่างคนคริสต์และปฏิเสธความจริงอย่างคนยิว

 

 


วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2564

เศาะหีหุลบุคอรีย์(1964(1828)

 



1964 حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ وَمُحَمَّدٌ قَالَا أَخْبَرَنَا عَبْدَةُ عَنْ هِشَامِ بْنِ عُرْوَةَ عَنْ أَبِيهِ عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا قَالَتْ نَهَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ الْوِصَالِ رَحْمَةً لَهُمْ  فَقَالُوا إِنَّكَ تُوَاصِلُ قَالَ إِنِّي لَسْتُ كَهَيْئَتِكُمْ إِنِّي يُطْعِمُنِي رَبِّي وَيَسْقِينِ قَالَ أَبُو عَبْد اللَّهِ لَمْ يَذْكُرْ عُثْمَانُ رَحْمَةً لَهُمْ


1964(1828) : 

อุซมาน อิบนุ อะบูไชบะฮฺและมุหัมมัด ทั้งสองได้บอกแก่เราว่า อับดุฮฺ ได้เล่าแก่เราว่า ฮิชาม อิบนุอุรวะฮฺ ได้รายงานว่า จากบิดาของเขา ว่า

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ(เราะฎิฯ)  ได้กล่าวว่า 

ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ได้ห้ามการถือศีลอดติดต่อกัน(วิศอล) เป็นสิ่งเมตตาแก่พวกเขา 

พวกเขากล่าวว่า แล้วท่านถือศีลอดติดต่อ(วิศอล) 

ท่านตอบว่า 

ฉันไม่ใช่อยู่ในฐานะเสมือนกับพวกเจ้า พระเจ้าได้ให้อาหารแก่ฉัน และได้ให้น้ำดื่มแก่ฉัน 

อะบูอับดุลลอฮฺไม่ได้กล่าวถึงอุซมานคำว่า"เราะฮฺมะฮฺ"(ความเมตตา)แก่พวกเขา

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1963(1827)

 





1963 حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ يُوسُفَ حَدَّثَنَا اللَّيْثُ حَدَّثَنِي ابْنُ الْهَادِ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ خَبَّابٍ عَنْ أَبِي سَعِيدٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّهُ سَمِعَ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ لَا تُوَاصِلُوا فَأَيُّكُمْ إِذَا أَرَادَ أَنْ يُوَاصِلَ فَلْيُوَاصِلْ حَتَّى السَّحَرِ قَالُوا فَإِنَّكَ تُوَاصِلُ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ إِنِّي لَسْتُ كَهَيْئَتِكُمْ إِنِّي أَبِيتُ لِي مُطْعِمٌ يُطْعِمُنِي وَسَاقٍ يَسْقِينِ

1963(1827) :

อับดุลลอฮฺ อิบนุยูซุฟ ได้บอกแก่เราว่า อัลไลษ ได้บอกแก่เราว่า อิบนุลฮาด ได้บอกแก่ฉันว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ ค็อบบาบ ได้รายงาน อะบู ซะอีด(เราะฎิฯ) ได้รายงานว่า 

เขาได้ยินท่านนบี กล่าวว่า

        พวกเจ้าจงอย่าถือศีลอดติดต่อ(วิศอล) ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะถือศีลอดติดต่อ พวกเจ้าจงถือศีลอดต่อจนถึงเวลาซาฮูรฺ(ก่อนรุ่งเช้า) 

พวกเขากล่าวว่า โอ้ กับท่านเราะซูลุลลอฮฺดท่านถือศีลอดติดต่อกัน

ท่านตอบว่า

        ฉันไม่เหมือนกับสภาพของพวกเจ้า เพราะฉันนอนมีคนให้อาหารและมีคนให้น้ำ 

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1962(1826)

 



1962 حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ يُوسُفَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ نَافِعٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ نَهَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ الْوِصَالِ قَالُوا إِنَّكَ تُوَاصِلُ قَالَ إِنِّي لَسْتُ مِثْلَكُمْ إِنِّي أُطْعَمُ وَأُسْقَى


1962(1826) :

อับดุลลอฮฺ อิบนุยูซุฟ ได้บอกแก่เราว่า มาลิกได้เล่าว่า นาฟิอฺ ได้รายงานว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ (เราะฎิฯ) ได้กล่าวว่า 

ท่านนบี ได้ห้ามการถือศีลอดแบบต่อเนื่อง(วิศอล) พวกเขากล่าวต่อท่านนบีว่า ท่านถือศีลอดติดต่อ  ท่านตอบว่า ฉันไม่เหมือนพวกเจ้า ฉันมีผู้ให้อาหารและให้น้ำดื่ม

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1961(1825) : 48.วิศอล(ถือศีลอดติดต่อ)และคนที่พูดว่ากลางคืนไม่มีการถือศีลอด

 


بَاب الْوِصَالِ وَمَنْ قَالَ لَيْسَ فِي اللَّيْلِ صِيَامٌ 

48.เรื่อง วิศอล(ถือศีลอดติดต่อ)และคนที่พูดว่ากลางคืนไม่มีการถือศีลอด

لِقَوْلِهِ تَعَالَى ثُمَّ أَتِمُّوا الصِّيَامَ إِلَى اللَّيْلِ وَنَهَى النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْهُ رَحْمَةً لَهُمْ وَإِبْقَاءً عَلَيْهِمْ وَمَا يُكْرَهُ مِنْ التَّعَمُّقِ

จากคำตรัสของอัลลอฮฺ  ثُمَّ أَتِمُّوا الصِّيَامَ إِلَى اللَّيْلِ   (แล้วพวกเจ้าจงให้การถือศีลอดครบเต็มจนถึงพลบค่ำ) ท่านนบี ห้ามถือศีลอดวิศอล(ถือศีลอดติดต่อกันโดยไม่ละศีลอด) เป็นความเมตตาแก่พวกเขาและความรักแก่พวกเขา และเป็นสิ่งน่ารังเกียจเพราะจะทำความลำบากแก่ตนเอง  


1961 حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ قَالَ حَدَّثَنِي يَحْيَى عَنْ شُعْبَةَ قَالَ حَدَّثَنِي قَتَادَةُ عَنْ أَنَسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَا تُوَاصِلُوا قَالُوا إِنَّكَ تُوَاصِلُ قَالَ لَسْتُ كَأَحَدٍ مِنْكُمْ إِنِّي أُطْعَمُ وَأُسْقَى أَوْ إِنِّي أَبِيتُ أُطْعَمُ وَأُسْقَى

1961(1825) :

มุซัดดัด ได้บอกแก่เราว่า ยะหฺยา ได้บอกแก่ฉัน ว่าชุอบะฮฺ รายงานว่า เกาะตาดะฮฺ ได้บอกแก่ฉันว่า อะนัซ(เราะฎิฯ) ได้รายงานว่า 

ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า "พวกเจ้าอย่าถือศีลอดติดต่อกัน(วิศอล)

พวกเขาถามว่า "แล้วท่านถือศีลอดติดต่อกัน(วิศอลฯ) ?"

ท่านตอบว่า "ฉันไม่เหมือนคนใดคนหนึ่งของพวกเจ้า เพราะฉัน(อัลลอฮฺ)ให้อาหารให้น้ำแก่ฉัน หรือ ฉันนอน(ด้วยสภาพ)ที่ถูกให้อาหารให้น้ำ"

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1960(1824) : 47. การถือศีลอดของเด็กๆ

 




بَاب صَوْمِ الصِّبْيَانِ

47. เรื่อง การถือศีลอดของเด็กๆ

 

وَقَالَ عُمَرُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ لِنَشْوَانٍ فِي رَمَضَانَ وَيْلَكَ وَصِبْيَانُنَا صِيَامٌ فَضَرَبَهُ

อุมัรฺ(เราะฎิฯ) ได้กล่าวแก่นัชวานในเดือนรอมฎอนว่า หายนะแล้วเจ้า และเด็กเราถือศีลอด แล้วก็เฆี่ยนเขา


1960 حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ حَدَّثَنَا بِشْرُ بْنُ الْمُفَضَّلِ حَدَّثَنَا خَالِدُ بْنُ ذَكْوَانَ عَنْ الرُّبَيِّعِ بِنْتِ مُعَوِّذٍ قَالَتْ أَرْسَلَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ غَدَاةَ عَاشُورَاءَ إِلَى قُرَى الْأَنْصَارِ مَنْ أَصْبَحَ مُفْطِرًا فَلْيُتِمَّ بَقِيَّةَ يَوْمِهِ وَمَنْ أَصْبَحَ صَائِمًا فَليَصُمْ قَالَتْ فَكُنَّا نَصُومُهُ بَعْدُ وَنُصَوِّمُ صِبْيَانَنَا وَنَجْعَلُ  لَهُمْ اللُّعْبَةَ مِنْ الْعِهْنِ فَإِذَا بَكَى أَحَدُهُمْ عَلَى الطَّعَامِ أَعْطَيْنَاهُ ذَاكَ حَتَّى يَكُونَ عِنْدَ الْإِفْطَارِ

1960(1824) :

มุซัดดัด ได้บอกแก่เราว่า บิซรุ อิบนุลมุฟัศศิล ได้บอกแก่เราว่า คอลิด อิบนุซักวาน ได้บอกแก่เราว่า อัรเราะบีอฺ อิบนะตุ มุเอาวิซฺได้รายงานว่า 

ท่านนบีได้ส่งคนเช้าวันรุ่งเช้าของวันอาชูรออฺไปยังหมู่บ้านหนึ่งของคนอันศอรฺ (เพื่อประกาศให้พวกเขารู้ว่า) ผู้ใดที่ละศีลอดแล้วก็ให้เขาดำเนินต่อไปจนครบวันและถ้าผู้ใดได้ถือศีลอดแล้วในตอนเช้าก็จงถือศีลอดต่อไป 

  อัรเราะบีอฺ ได้กล่าวต่อไปว่า

หลังจากนั้นเราก็ได้ถือศีลอดและเราก็ให้เด็กๆของเราถือศีลอดด้วย เราให้พวกเด็กๆเล่นกับ อัลอิหิน(ขนสัตว์ที่ถัก) เมื่อพวกเขาร้องไห้เขาก็ให้อันอื่น จนกระทั้งถึงเวลาละศีลอด 

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 1959(1823) : 46.เมื่อละศีลอดรอมฎอนแล้วเห็นดวงอาทิตย์

 



بَاب إِذَا أَفْطَرَ فِي رَمَضَانَ ثُمَّ طَلَعَتْ الشَّمْسُ

46. เรื่อง เมื่อละศีลอดรอมฎอนแล้วเห็นดวงอาทิตย์


1959 حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا أَبُو أُسَامَةَ عَنْ هِشَامِ بْنِ عُرْوَةَ عَنْ فَاطِمَةَ عَنْ أَسْمَاءَ بِنْتِ أَبِي بَكْرٍ الصِّدِّيقِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَتْ أَفْطَرْنَا عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمَ غَيْمٍ ثُمَّ طَلَعَتْ الشَّمْسُ  قِيلَ  لِهِشَامٍ  فَأُمِرُوا بِالْقَضَاءِ قَالَ لَا بُدَّ مِنْ قَضَاءٍ وَقَالَ مَعْمَرٌ سَمِعْتُ هِشَامًا لَا أَدْرِي أَقَضَوْا أَمْ لَا

1958(1823) :

อับดุลลอฮฺ อิบนุอะบีไชบะฮฺ ได้บอกแก่ฉันว่า อะบูอุซามะฮฺ ได้บอกแก่เราว่า ฮิชาม อิบนุ อุรวะฮฺ ได้รายงานว่า จากฟาฏิมะฮฺ จาก อัซมาอฺ อิบนะตุอะบูบักรฺ อัซซิดดีก(เราะฎิฯ) ได้กล่าวว่า 

เราได้ละศีลอดในสมัยท่านนบี ในวันที่ฟ้ามืด จากนั้นด้วงอาทิตย์ก็ได้ปรากฏให้เห็น มีคนกล่าวแก่ฮิชามว่า แล้วพวกเขาถูกให้ถือศีลอดชดเชย เขากล่าวว่า จำเป็นที่จะต้องถือศีลอดชดเชย และมะอฺมัรฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินจากฮิชาม ว่า ฉันไม่รู้ว่าฉันชดเชยหรือไม่