มัสยิดและการเผยแพร่(ดะอฺวะฮฺ)จองเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)
(18) และแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นมีเพื่อเป็นที่ทำการภักดี(อิบาดะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเชิญชวน/ภักดีต่อสิ่งอื่นใดกับพระองค์ 44
44 อัลหะซัน กล่าวว่า : มัสยิดในที่หมายถึงพื้นแผ่นดินทุกแห่ง นั้นหมายความว่า พื้นดินทุกแห่งนั้นคือที่ๆให้ซุญูด(กราบ) ดังนั้นพวกเจ้าก็จงอย่าซุญูดหรือกราบ(แสดงการภักดี)บนพื้นแผ่นดินไม่ว่าจะที่ไหนต่อสิ่งอื่นใดนอกเหนือจาก"อัลลอฮฺ"ผู้ทรงสร้าง (อิบนุ อัลเญาซีย์)
หรือมัสยิดในที่นี้หมายถึงทุกแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อเศาะลาฮฺ(ละหมาด) ปฏิบัติการศาสนกิจ ภักดี(อิบาดะฮฺ)และซิกีรฺ(กล่าวระลึกถึงอัลลอฮฺ) รวมมัสยิดทุกแห่งของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม โบสถ์คริสต์และยิว (อัลคอซิน) เพราะมีคนยิวหรือคริสเตียนเมื่อพวกเขาเข้าไปในโบสถ์ หรือสถานที่นมัซการอื่นๆ พวกเขาก็จะตั้งภาคีกับอัลลอฮฺทันที ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ใช้ให้บรรดานบีของพวกเขาดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกะของอัลลอฮฺโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ในมัสยิด(หรือโบสถ์) (เกาะตาดะฮฺ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอายะฮฺนี้อัลลอฮฺจะหมายถึงคนมุชริกีนมักกะฮฺ ที่พวกเขาจะตั้งภาคีกับอัลลอฮฺด้วยการนำรูปปั้นต่างๆไว้บูชาในมัสยิด (อัลกุรฏุบีย์) หรือ มัสยิดในที่นี้หมายถึงอวัยวะทั้ง 7 ที่ใช้สำหรับซุญูด(กราบ) (คือ หน้าผาก มือสองข้าง เข่าสองข้าง และปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้าง) นั้นหมายความว่า พวกเจ้าจงอย่าใช้อวัยวะที่ใช้สำหรับซูญุดนั้นซูญุดที่แสดงการภักดีต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ เพราะอวัวยะทั้่ง 7 นั้นเป็นของอัลลอฮฺ (ซะอีด อิบนุ ญุไบร์)
(19) และแท้จริง เมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ(นบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ)) ลุกขึ้นเพื่อการภักดี(อิบาดะฮฺและวิงวอน)ต่ออัลลอฮฺ45 พวกเขา(ญิน)เกือบจะล้มทับกัน46
45 ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้ทำการละหมาดศุบฮฺ ณ บริเวณที่ชื่อว่า "บัตนุนนัคละฮฺ" คือ สถานที่ที่ตั้งอยู่ระหว่างมักกะฮฺกับฏออิฟ (มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ)
46 บรรดาอุลามาอฺ(นักวิชาการศาสนา) ได้อธิบายอายะฮฺนี้ออกมา 3 ความเห็นด้วยกัน คือ
วาดี(ที่ราบลุ่ม)"อันนัคละฮฺ" อยู่ระหว่างมักกะฮฺกับอัฏฏออีฟ
(1) หมายถึง บรรดาญินได้แย่งชิงกันจนทำทำให้เหยีบทับกันและกัน เพราะญินมีจำนวนมากเกินไปและแย่งชิงกันที่จะฟังท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)อ่านอัลกุรอาน (อิบนุ อับบาซ, อัฎเฎาะหาก)
(2) นี้เป็นคำพูดของญิน เมื่อพวกเขากลับไปพบกับพรรคพวกของเขา เขาก็บรรยายถึงลักษณะของความภักดีของบรรดาเศาะหาบะฮฺของเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) และบรรดาเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นได้ทำการก้มเคารพ(รุกูอฺ)และกราบ(ซูญุด)ตามท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) (อิบนุ อับบาซ, ญุไบรฺ)
(3) หมายถึง เมื่อท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) ลุกขึ้นอิบาดะฮฺและเชิญชวนพวกเขาให้นับถือในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ ท่านนบีก็ถูกพวกญินและมนุษย์ขัดขวางและทำลายการเผยแพร่อิสลาม (อัลหะซัน, เกาะตาดะฮฺ, อิบนุไซดฺ)
(20) จงกล่าวเถิด(โอ้มุหัมมัด แก่ผู้ที่มาล้อมรอบเจ้าว่า) "แท้จริงแล้วฉันได้ขอวรภักดีต่อพระเจ้าของฉันเท่านั้น และฉันไม่ตั้งภาคีกับผู้ใดต่อพระองค์"
(21) จงกล่าวอีกว่า "แท้จริง ฉันไม่ได้มีความสามารถที่จะทำพวกเจ้าเสียหายหรือได้ดี"
(22) จงกล่าวอีกว่า "แท้จริงฉันไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถคุ้มครองฉันให้พ้นจาก(การลงโทษของ)อัลลอฮฺ47 และฉันไม่พบผู้ใดเลยที่ฉันได้รับที่คุ้มครอง(ที่ฉันสามารถพึงได้)นอกจากพระองค์48
47 สมมุติว่าฉันทรยศต่อพระเจ้า การที่อายะฮฺนี้ได้ประทานลงมาเพราะว่ามีญินและมนุษย์บางคนได้กล่าวว่า "ฉันนี้แหละที่สามารถคุ้มครองเจ้าจากการลงโทษของอัลลอฮฺ เจ้าไม่ต้องกังวลเลยมุหัมมัด เจ้าทิ้งเถิดอิสลามที่เจ้าเชิญชวนมนุษย์ให้นับถือ" อายะฮฺนี้ก็ถูกประทานลงมา (อัฏเฎาะบะรีย์, อิบนุ อัลเญาซีย์, อัลกุรฏุบีย์)
48 ความหมายของคำว่า " مُلْتَحَدًا" คือ สถานที่หลบภัย หรือ ที่ให้ความช่วยเหลือ (เกาะตาดะฮฺ)
(23) เว้นแต่(ให้ฉันสามารถที่จะ)เผยแพร่(วะหฺยู)จากอัลลอฮฺ และบทบัญญัติของพระองค์(ที่ให้ฉันเผยแพร่) และผู้ใดที่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺ(ด้วยการไม่นับถือความเป็นเอกะของพระองค์)และ(ปฏิบัติตามแนวทางของ)เราะซูลของพระองค์(ศ็อลฯ) แน่แท้ไฟนรกถูกเตรียมไว้สำหรับพวกเขาด้วยสภาพที่พวกเขาอยู่ในนั้นตลอดกาล 48
49 นี้เป็นผลตอบแทนของความผิดที่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ(ชิริก) ส่วนความผิดอื่นๆนั้นที่ไม่ใช่ชิริก จะไม่มี"ตลอดกาล" ตราบใดที่ไม่มีการยกโทษจากอัลลอฮฺ หรือความช่วยเหลือใดๆที่อัลลอฮฺทรงอนุญาต (อัลกุรฏุบีย์)
(24) (โอ้..มุหัมมัด .. กลุ่มคนที่ต่อต้านเจ้า แน่นอนพวกเขาจะมองเจ้าเป็นคนที่อ่อนแอและไม่มีผู้สนับสนุ) กระทั้งเมื่อพวกเขาได้เห็น(โทษ)ที่ได้สัญญากับพวกเขา (ในเวลานั้น)พวกเขาก็จะรู้ว่าผู้ใดที่มีคนช่วยเหลือที่อ่อนแอและมีจำนวนที่น้อยกว่า
(25) (เมื่อมีคนถามว่าเมื่อไรโทษที่ว่านั้นจะมาถึง ก็จงกล่าวว่า "ฉันไม่รู้สิ่งที่พวกเจ้าได้สัญญานั้นจะในเวลาอันใกล้หรือพระเจ้าของฉันได้กำหนดเวลาอีกยาวนาน"
(26) (พระองค์คือพระเจ้า) ผู้ทรงรู้สิ้งที่เร้นลับ และพระองค์จะไม่แสดงให้ผู้ใดเลยเห็นสิ่งเร้นลับนั้น
(٢٧)إِلَّا مَنِ ارْتَضَىٰ مِنْ رَسُولٍ فَإِنَّهُ يَسْلُكُ مِنْ بَيْنِ يَدَيْهِ وَمِنْ خَلْفِهِ رَصَدًا
(27) เว้นแต่บางคนในกลุ่มเราะซูลของพระองค์(ที่พระองค์พอใจที่จะบอกให้รู้เรื่องเร้นลับนั้น)50 ดังนั้นแท้จริงแล้ว(ในเวลานั้น)ทั้งข้างหน้าและข้างหลังเราะซูลนั้นเต็มไปด้วยบรรดามะลาอิกะฮฺที่ดูแลและปกป้องเขา51
50 รวมถึงเราะซูลที่เป็นศาสนาทูตเป็นมะลาอิกะฮฺและมนุษย์ ที่อัลลอฮฺเลือกที่บอกข่าวคราวที่เร้นลับ เช่น เรื่องเร้นลับที่อัลลอฮฺได้วะหฺยูผ่านอัลกุรอานให้แก่นบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) (อิบนุไซด์)
51 คือ ท่านนบี(ศ็อลฯ) เมื่ออัลลอฮฺให้มะลาอิกะฮฺญิบรีลลงมาให้วะหฺยูแก่ท่าน อัลลอฮฺก็ได้ส่งมะลาอิกะอฺอื่นๆอีก 4 รูป เพื่อปกป้องนบีทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายและขวา เพื่อที่ไม่ให้ไชฏอนมารบกวน (อิบนุอับบาซ, ซะอีด อิบนุลมุไซยิบ, อัฎเฎาะหาก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น