
وعن أبي حمزةَ أنسِ بنِ مالكٍ الأنصاريِّ- خادِمِ رسولِ الله صلى الله عليه وسلم – رضي الله عنه ، قَالَ :
قَالَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم :
« للهُ أفْرَحُ بِتَوْبَةِ عَبْدِهِ مِنْ أَحَدِكُمْ سَقَطَ عَلَى بَعِيرهِ وقد أضلَّهُ في أرضٍ فَلاةٍ »
« للهُ أَشَدُّ فَرَحاً بِتَوبَةِ عَبْدِهِ حِينَ يتوبُ إِلَيْهِ مِنْ أَحَدِكُمْ كَانَ عَلَى رَاحِلَتهِ بأرضٍ فَلاةٍ ، فَانْفَلَتَتْ مِنْهُ وَعَلَيْهَا طَعَامُهُ وَشَرَابهُ فأَيِسَ مِنْهَا ، فَأَتى شَجَرَةً فاضطَجَعَ في ظِلِّهَا وقد أيِسَ مِنْ رَاحلَتهِ ، فَبَينَما هُوَ كَذَلِكَ إِذْ هُوَ بِها قائِمَةً عِندَهُ ، فَأَخَذَ بِخِطامِهَا، ثُمَّ قَالَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ : اللَّهُمَّ أنْتَ عَبدِي وأنا رَبُّكَ ! أَخْطَأَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ » .
ความว่า :
รายงานจาก อะบูหัมเซาะฮฺ อะนัซ อิบนุมาลิก อัลอันศอรียฺ คนรับใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ)(รอฎิฯ) ว่า
เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขกับการเตาบะฮฺของบ่าวคนๆ หนึ่งของพระองค์ ยิ่งกว่าคนใดคนหนึ่งพวกเจ้าที่ตกลงจากอูฐของเขา ทำให้เขาหลงอยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล”
และในบันทึกของมุสลิม ว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขมากกับการที่ของบ่าวคนๆ หนึ่งของพะรองค์จากที่พวกเจ้าได้เตาบะฮฺต่อพระองค์ ยิ่งกว่าคนใดคนหนึ่งพวกเจ้าอยู่บนพาหนะ(อูฐ)ของเขาในท้องทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น แล้วอูฐนั้นได้หายไปจากตัวเขา อาหารและน้ำดื่มของเขาอยู่บนอูฐ เขาก็ได้ไปเอนกายที่ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง เขาสิ้นหวังจากอูฐของเขา อยู่ๆอูฐตัวนั้นก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาจึงจับเชือกอูฐตัวนั้น แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “โอ้อัลลอฮฺ.. เจ้าเป็นบ่าวทาสของฉันและฉันเป็นพระเจ้าผู้อภิบาลของเจ้า” เขาพูดผิดเนื่องจากการที่เขารู้สึกดีใจยิ่ง”
คำอธิบายหะดีษ :
อะนัซ อิบนุมาลิก คือ คนใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ) เมื่อท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้มาถึงมะดีนะฮฺครั้งที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ฮิจเราะฮฺมาถึง มารดาของอะนัซได้พาอะนัซไปหานบี(ศ็อลฯ) แล้วบอกแก่ท่านนบีว่า “นี้คือ อะนัซ อิบนุมาลิก จะรับใช้ท่าน” ท่านบีก็รับเขา จากนั้นอะนัซก็ได้เป็นคนรับใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ)
لهُ أَشَدُّ فَرَحاً بِتَوبَةِ عَبْدِهِ حِينَ يتوبُ إِلَيْهِ (แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขมากกับการที่ของบ่าวคนๆหนึ่งของพระองค์จากพวกเจ้าได้เตาบะฮฺต่อพระองค์) เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งได้เดินทางไปในทะเลทราย เขาไปคนเดียวและในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์นั้นไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวเขาเลย ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เพราะน้ำและอาหารทั้งหมดอยู่กับอูฐที่เขาใช้เป็นพาหนะ และอูฐตัวนั้นก็ได้เดินทิ้งเขาไปแล้ว ทำให้เขาหลงทางอยู่คนเดียว จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาก็เลยเดินไปพักและเอนกายใต้ร่มต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้วยสภาพที่หมดหวังกับการที่จะได้อูฐกลับมา หมดหวังกับชีวิต รอแต่ความตาย แล้วอยู่ๆอูฐตัวนั้นก็มายืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็รีบจับเชือกอูฐตัวนั้น เขารู้สึกดีใจมาก ไม่มีใครที่สามารถจินตนาการความดีใจของเขาได้นอกจากจะได้อยู่ในเหตุการณ์เหมือนเขา เขารู้สึกเสมือนว่าตายแล้วได้เกิดใหม่ จึงทำให้เขาพลั่งพูดออกมาแบบผิดๆ เพราะตื่นเต้นดีใจว่า
“โอ้อัลลอฮฺ..เจ้าเป็นบ่าวทาสฉัน และฉันคือพระเจ้าผู้อภิบาลเจ้า”
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาจะกล่าวว่า
“โอ้อัลลอฮฺ.. พระองค์ท่านคือพระเจ้าผู้อภิบาลของข้า และฉันคือบ่าวทาสของพระองค์”
แต่ด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ทำให้เขากล่าวกลับกันแบบผิดๆ
บทเรียนจากหะดีษ :
หะดีษนี้เป็นที่ยืนยันได้ว่าอัลลฮฺมีความดีใจ แต่ความดีใจของพระองค์จะเหมือนกับความดีใจมนุษย์หรือไม่นั้นไม่อาจจะทราบได้ แต่อัลลอฮฺได้ตรัสในซูเราะฮฺ อัชชูรอ อายะฮฺที่ 11 ว่า
لَيۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَيۡءٞۖ وَهُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡبَصِيرُ
(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น)(อัชชูรอ 42:11)
การเตาบะฮฺ สำนึกผิดและไม่หวนกลับไปทำในสิ่งที่ผิดนั้นอีก จะมีแต่เป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺพระองค์เดียวของบ่าวของพระองค์ไม่ว่าคนใดก็ตาม อัลลอฮฺจะมีความสุขมาก ถึงขนาดเปรียบเทียบความสุข ความดีใจที่บ่าวให้แก่พระองค์ด้วยการเตาบะฮฺนั้นยิ่งกว่าความดีใจของคนๆ หนึ่งที่หมดหวังในชีวิตแล้วได้รับสิ่งที่เขาหมดหวังนั้นต่อ
การกระทำของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากความเผลอเรอ เกิดขึ้นเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะผิดแต่ก็ไม่ถือว่าผิด อย่างความตื่นเต้นดีใจของชายที่นบีกล่าวในหะดีษนี้ เขากล่าวแม้ว่าเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ อาจถึงขั้นตกศาสนา แต่การกระทำของเขานั้นไม่ได้ตั้ง ที่กล่าวผิดแบบนี้เกิดขึ้นด้วยความตื่นแต้นดีใจทำให้กล่าวผิดกล่าวถูกและไม่ได้ตั้งใจที่จะทำในสิ่งนั้น อัลลอฮฺตรัสว่า
لَّا يُؤَاخِذُكُمُ ٱللَّهُ بِٱللَّغۡوِ فِيٓ أَيۡمَٰنِكُمۡ وَلَٰكِن يُؤَاخِذُكُم بِمَا كَسَبَتۡ قُلُوبُكُمۡۗ وَٱللَّهُ غَفُورٌ حَلِيمٞ
(อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยคำพูดพล่อยๆ ในการสาบานของพวกเจ้า แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้า ด้วยการสาบานที่หัวใจของพวกเจ้ามุ่งหมายด้วย และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงหนักแน่น) (อัลบุเกาะเราะฮฺ 2:225)
แต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดนั้นเขาพูดด้วยความตั้งใจ เป็นการพูดที่แสดงให้เห็นว่าเขาดูถูกถึงได้พูดเช่นนั้น คือสิ่งที่เขาพูดนั้น เขาหมายถึงในความหมายที่เขาพูดนั้นจริง ถือว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นผิด อัลลอฮฺได้ตรัสถึงคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ว่า
وَلَئِن سَأَلۡتَهُمۡ لَيَقُولُنَّ إِنَّمَا كُنَّا نَخُوضُ وَنَلۡعَبُۚ قُلۡ أَبِٱللَّهِ وَءَايَٰتِهِۦ وَرَسُولِهِۦ كُنتُمۡ تَسۡتَهۡزِءُونَ * لَا تَعۡتَذِرُواْ قَدۡ كَفَرۡتُم بَعۡدَ إِيمَٰنِكُمۡۚ إِن نَّعۡفُ عَن طَآئِفَةٖ مِّنكُمۡ نُعَذِّبۡ طَآئِفَةَۢ بِأَنَّهُمۡ كَانُواْ مُجۡرِمِينَ
(และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุก และพูดเล่นเท่านั้นจงกล่าวเถิด(มุหัมมัด)ว่า ต่ออัลลอฮฺและบรรดาโองการของพระองค์และเราะซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด) (อัตเตาบะฮฺ 9:65-66)
วัลลอฮุมุวัฟฟิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น