วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ริยาฎุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 15 ความดีใจของอัลลอฮฺต่อคนเตาบัตเสมือนคนหลงทางได้พบอูฐของตัวเอง

 

dc13



وعن أبي حمزةَ أنسِ بنِ مالكٍ الأنصاريِّ- خادِمِ رسولِ الله صلى الله عليه وسلم – رضي الله عنه ، قَالَ :
قَالَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم :
« للهُ أفْرَحُ بِتَوْبَةِ عَبْدِهِ مِنْ أَحَدِكُمْ سَقَطَ عَلَى بَعِيرهِ وقد أضلَّهُ في أرضٍ فَلاةٍ »

مُتَّفَقٌ عليه .
وفي رواية لمُسْلمٍ :

« للهُ أَشَدُّ فَرَحاً بِتَوبَةِ عَبْدِهِ حِينَ يتوبُ إِلَيْهِ مِنْ أَحَدِكُمْ كَانَ عَلَى رَاحِلَتهِ بأرضٍ فَلاةٍ ، فَانْفَلَتَتْ مِنْهُ وَعَلَيْهَا طَعَامُهُ وَشَرَابهُ فأَيِسَ مِنْهَا ، فَأَتى شَجَرَةً فاضطَجَعَ في ظِلِّهَا وقد أيِسَ مِنْ رَاحلَتهِ ، فَبَينَما هُوَ كَذَلِكَ إِذْ هُوَ بِها قائِمَةً عِندَهُ ، فَأَخَذَ بِخِطامِهَا، ثُمَّ قَالَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ : اللَّهُمَّ أنْتَ عَبدِي وأنا رَبُّكَ ! أَخْطَأَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ » .

ความว่า :

รายงานจาก อะบูหัมเซาะฮฺ อะนัซ อิบนุมาลิก อัลอันศอรียฺ คนรับใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ)(รอฎิฯ) ว่า

เราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า

แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขกับการเตาบะฮฺของบ่าวคนๆ หนึ่งของพระองค์ ยิ่งกว่าคนใดคนหนึ่งพวกเจ้าที่ตกลงจากอูฐของเขา ทำให้เขาหลงอยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล

(มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ)

และในบันทึกของมุสลิม ว่า

แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขมากกับการที่ของบ่าวคนๆ หนึ่งของพะรองค์จากที่พวกเจ้าได้เตาบะฮฺต่อพระองค์ ยิ่งกว่าคนใดคนหนึ่งพวกเจ้าอยู่บนพาหนะ(อูฐ)ของเขาในท้องทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น แล้วอูฐนั้นได้หายไปจากตัวเขา อาหารและน้ำดื่มของเขาอยู่บนอูฐ เขาก็ได้ไปเอนกายที่ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง เขาสิ้นหวังจากอูฐของเขา อยู่ๆอูฐตัวนั้นก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาจึงจับเชือกอูฐตัวนั้น แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “โอ้อัลลอฮฺ.. เจ้าเป็นบ่าวทาสของฉันและฉันเป็นพระเจ้าผู้อภิบาลของเจ้า” เขาพูดผิดเนื่องจากการที่เขารู้สึกดีใจยิ่ง

คำอธิบายหะดีษ :

อะนัซ อิบนุมาลิก คือ คนใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ) เมื่อท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้มาถึงมะดีนะฮฺครั้งที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้ฮิจเราะฮฺมาถึง มารดาของอะนัซได้พาอะนัซไปหานบี(ศ็อลฯ) แล้วบอกแก่ท่านนบีว่า “นี้คือ อะนัซ อิบนุมาลิก จะรับใช้ท่าน” ท่านบีก็รับเขา จากนั้นอะนัซก็ได้เป็นคนรับใช้ของท่านนบี(ศ็อลฯ)

لهُ أَشَدُّ فَرَحاً بِتَوبَةِ عَبْدِهِ حِينَ يتوبُ إِلَيْهِ (แท้จริงอัลลอฮฺจะมีความสุขมากกับการที่ของบ่าวคนๆหนึ่งของพระองค์จากพวกเจ้าได้เตาบะฮฺต่อพระองค์) เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งได้เดินทางไปในทะเลทราย เขาไปคนเดียวและในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์นั้นไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวเขาเลย ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เพราะน้ำและอาหารทั้งหมดอยู่กับอูฐที่เขาใช้เป็นพาหนะ และอูฐตัวนั้นก็ได้เดินทิ้งเขาไปแล้ว ทำให้เขาหลงทางอยู่คนเดียว จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาก็เลยเดินไปพักและเอนกายใต้ร่มต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้วยสภาพที่หมดหวังกับการที่จะได้อูฐกลับมา หมดหวังกับชีวิต รอแต่ความตาย แล้วอยู่ๆอูฐตัวนั้นก็มายืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็รีบจับเชือกอูฐตัวนั้น เขารู้สึกดีใจมาก ไม่มีใครที่สามารถจินตนาการความดีใจของเขาได้นอกจากจะได้อยู่ในเหตุการณ์เหมือนเขา เขารู้สึกเสมือนว่าตายแล้วได้เกิดใหม่ จึงทำให้เขาพลั่งพูดออกมาแบบผิดๆ เพราะตื่นเต้นดีใจว่า

“โอ้อัลลอฮฺ..เจ้าเป็นบ่าวทาสฉัน และฉันคือพระเจ้าผู้อภิบาลเจ้า”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาจะกล่าวว่า

“โอ้อัลลอฮฺ.. พระองค์ท่านคือพระเจ้าผู้อภิบาลของข้า และฉันคือบ่าวทาสของพระองค์”

แต่ด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ทำให้เขากล่าวกลับกันแบบผิดๆ

บทเรียนจากหะดีษ :

หะดีษนี้เป็นที่ยืนยันได้ว่าอัลลฮฺมีความดีใจ แต่ความดีใจของพระองค์จะเหมือนกับความดีใจมนุษย์หรือไม่นั้นไม่อาจจะทราบได้ แต่อัลลอฮฺได้ตรัสในซูเราะฮฺ อัชชูรอ อายะฮฺที่ 11 ว่า

لَيۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَيۡءٞۖ وَهُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡبَصِيرُ

(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น)(อัชชูรอ 42:11)

การเตาบะฮฺ สำนึกผิดและไม่หวนกลับไปทำในสิ่งที่ผิดนั้นอีก จะมีแต่เป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺพระองค์เดียวของบ่าวของพระองค์ไม่ว่าคนใดก็ตาม อัลลอฮฺจะมีความสุขมาก ถึงขนาดเปรียบเทียบความสุข ความดีใจที่บ่าวให้แก่พระองค์ด้วยการเตาบะฮฺนั้นยิ่งกว่าความดีใจของคนๆ หนึ่งที่หมดหวังในชีวิตแล้วได้รับสิ่งที่เขาหมดหวังนั้นต่อ

การกระทำของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากความเผลอเรอ เกิดขึ้นเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะผิดแต่ก็ไม่ถือว่าผิด อย่างความตื่นเต้นดีใจของชายที่นบีกล่าวในหะดีษนี้ เขากล่าวแม้ว่าเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ อาจถึงขั้นตกศาสนา แต่การกระทำของเขานั้นไม่ได้ตั้ง ที่กล่าวผิดแบบนี้เกิดขึ้นด้วยความตื่นแต้นดีใจทำให้กล่าวผิดกล่าวถูกและไม่ได้ตั้งใจที่จะทำในสิ่งนั้น อัลลอฮฺตรัสว่า

لَّا يُؤَاخِذُكُمُ ٱللَّهُ بِٱللَّغۡوِ فِيٓ أَيۡمَٰنِكُمۡ وَلَٰكِن يُؤَاخِذُكُم بِمَا كَسَبَتۡ قُلُوبُكُمۡۗ وَٱللَّهُ غَفُورٌ حَلِيمٞ

(อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยคำพูดพล่อยๆ ในการสาบานของพวกเจ้า แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้า ด้วยการสาบานที่หัวใจของพวกเจ้ามุ่งหมายด้วย และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงหนักแน่น) (อัลบุเกาะเราะฮฺ 2:225)

แต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดนั้นเขาพูดด้วยความตั้งใจ เป็นการพูดที่แสดงให้เห็นว่าเขาดูถูกถึงได้พูดเช่นนั้น คือสิ่งที่เขาพูดนั้น เขาหมายถึงในความหมายที่เขาพูดนั้นจริง ถือว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นผิด อัลลอฮฺได้ตรัสถึงคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ว่า

وَلَئِن سَأَلۡتَهُمۡ لَيَقُولُنَّ إِنَّمَا كُنَّا نَخُوضُ وَنَلۡعَبُۚ قُلۡ أَبِٱللَّهِ وَءَايَٰتِهِۦ وَرَسُولِهِۦ كُنتُمۡ تَسۡتَهۡزِءُونَ * لَا تَعۡتَذِرُواْ قَدۡ كَفَرۡتُم بَعۡدَ إِيمَٰنِكُمۡۚ إِن نَّعۡفُ عَن طَآئِفَةٖ مِّنكُمۡ نُعَذِّبۡ طَآئِفَةَۢ بِأَنَّهُمۡ كَانُواْ مُجۡرِمِينَ

(และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุก และพูดเล่นเท่านั้นจงกล่าวเถิด(มุหัมมัด)ว่า ต่ออัลลอฮฺและบรรดาโองการของพระองค์และเราะซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด) (อัตเตาบะฮฺ 9:65-66)

วัลลอฮุมุวัฟฟิก

ริยาฎุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 14 (เตาบัตวันละ 100 ครั้ง)

 

สำนึก
وعن الأَغَرِّ بنِ يسار المزنِيِّ رضي الله عنه ، قَالَ :

قَالَ رَسُول الله صلى الله عليه وسلم :

« يَا أَيُّهَا النَّاسُ ، تُوبُوا إِلى اللهِ واسْتَغْفِرُوهُ ، فإنِّي أتُوبُ في اليَومِ مئةَ مَرَّةٍ»

رواه مسلم .

ความว่า :

รายงานจากอัลอัฆฆ็อรฺริ อิบนุ ยะซารฺ อัลมัซนียฺ (รอฎิฯ) ว่า :

ท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า ..

โอ้มนุษย์ทั้งหลาย .. พวกเจ้าจงเตาบัตต่ออัลลฮฺ และขอลุโทษต่อพระองค์ และแท้จริงแล้วในหนึ่งวันฉันเตาบัต 100 ครั้ง

บันทึกโดย มุสลิม

คำอธิบายหะดีษ :  

หะดีษนี้เป็นการยืนยันหะดีษก่อนหน้านี้(หะดีษที่ 13) ด้วยสายงานที่ต่างกันและคนบันทึกที่น่าเชื่อถือที่ต่างกัน เป็นการยืนยันว่า แม้ว่าท่านนบี(ศ็อลฯ)จะเป็นคนที่อัลลอฮฺอภัยโทษแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบัน ท่านก็ยังขออภัยโทษและขอเตาบัตต่อพระองค์อย่างน้อย 70 ครั้งต่อวัน(ตามหะดีษก่อนหน้านี้) และในหะดีษนี้ท่านกล่าวว่า ท่านขออภัยโทษและเตาบัตวันละ 100 ครั้ง

 

ริยาฎุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 13 (ขอลุโทษมากว่า 70 ครั้ง)

 توبة

وعن أبي هريرةَ رضي الله عنه ، قَالَ :

سمعْتُ رسولَ الله صلى الله عليه وسلم ، يقول :

<< والله إنِّي لأَسْتَغْفِرُ الله وأَتُوبُ إِلَيْه في اليَوْمِ أَكْثَرَ مِنْ سَبْعِينَ مَرَّةً>>

رواه البخاري .

ความว่า :

รายงานจากอะบูฮุร็อยเราะฮฺ (รอฎิฯ) ว่า

ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

วัลลอฮิ..ฉันขอสาบานกับอัลลอฮฺ แท้จริงฉันได้ขอลุโทษจากอัลลอฮฺและขอเตาบัตจากพระองค์วันละมากกว่า 70 ครั้ง

บันทึกโดย อัลบุคอรียฺ

คำอธิบายหะดีษ :

ตามที่ได้นำเสนอในตอนที่แล้ว ในบทนำในเรื่องการเตาบัตนี้ ท่านอิมามอันนะวะวียฺ ได้เขียนไว้ว่า เราทุกคนจะต้องเตาบัต และท่านได้กำหนดเงื่อนไขเตาบัต 3 เงื่อนไขและเพิ่มอีกสำหรับคนที่ไปทำผิดให้คนอื่นเดือดร้อนอีก 1 เงื่อนไข

นอกจากนี้ท่านได้นำเสนออายะฮฺอัลกุรอานที่บ่งบอกถึงการเตาบัตและขอลุโทษนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำ และมีหะดีษยืนยันว่า ทุกคนจะต้องทำผิด การขอลุโทษและการเตาบัตจึงจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น

ท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) เป็นที่ยืนยันแล้วว่าท่านเป็นเราะซูลศาสนทูตของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงให้อภัยโทษแก่ท่านทั้งหมดที่ท่านได้พลาดพลั้งกระทำในสิ่งไม่ทรงอนุญาตทั้งในอดีตและอนาคต ท่านก็ยังขอลุโทษและเตาบัตจากพระองค์วันละไม่น้อยกว่า 70 ครั้ง

และมีรายงานว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)จะกล่าวคำนี้บ่อยครั้งมาก

 سبحانَ اللهِ وبحمدِه أستغفرُ اللهَ وأتوبُ إليه ”

(“ซุบหานัลลอฮฺ วะบิหัมดิฮฺ อัสตัฆฺฟิรุลลอฮฺ วะอะตูบุอิลัยฮฺ”  (มหาบริสุทธิ์ยิ่งอัลลอฮฺและด้วยการสรรเสริญแด่พระองค์ ฉันขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ และฉันขอกลับตัวไปยังพระองค์))

จึงเป็นข้อคำถามสำหรับเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาซึ่งต้องทำผิดอยู่เป็นนิจ ทั้งที่ตั้งใจที่ขาดสำนึกและไม่ตั้งใจ เราเคยกล่าวอย่างที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)มากน้อยแค่ไหน ถ้ายังน้อยกว่านบี(ศ็อลฯ) แสดงว่า เรายังอยู่ในภาวะที่ยังเกลือกลั้วกับความผิดจำนวนมาก สัญญาณอันตรายก็จะเกิดแก่ตัวเราทั้งโลกนี้และโลกหน้า

ริยาฎุศศอลิฮีน : บทที่ 2 (สำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัวไปหาอัลลอฮฺ)

 

بَابُ التَّوْبَةِ

เรื่อง เตาบะฮฺ (สำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัวไปหาอัลลอฮฺ)




       ผู้รอบรู้ในศาสนาอิสลาม(อุลามาอฺ)ได้กล่าวว่า เตาบะฮฺหรือเตาบัตเป็นสิ่งที่ต้องกระทำในทุกการงานที่ได้กระทำผิด เงื่อนไขของการเตาบัตในสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำผิดและความผิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลใดๆ มี 3 เงื่อนไขหลัก คือ

  1. ต้องถอนตัวออกจากการกระทำผิดนั้น
  2. ต้องสำนึกและเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำนั้น
  3. ต้องไม่หวนกลับไปทำในสิ่งที่ได้กระทำผิดนั้นอีก

      ถ้าขาดเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งในสามเงื่อนไขนี้ การเตาบัตหรือการกลับเนื้อกลับตัวนั้นถือว่ายังไม่ถูกต้องและเป็นโมฆะ

      ถ้าความผิดที่ได้กระทำไปนั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลคนอื่น เงื่อนไขของการเตาบัตก็จะเพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข คือ ต้องสร้างความบริสุทธิ์กับคนๆ นั้น

  • ถ้าเกี่ยวข้องกับเงินทอง จะต้องคืนเขาหรือวิธีการอื่นที่เจ้าของ(หรือผู้เกี่ยวข้อง)เขาพอใจ
  • ถ้าไปขัดขวางหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะนี้ ก็ต้องคืนอำนาจหรือความสามารถให้แก่เขาหรือไปขออภัยจากตัวเขา
  • ถ้านินทาว่าร้ายเขา ก็ต้องไปขอให้เขาคิดหะลาล(ยกโทษ)ให้

      จะต้องเตาบะฮฺหรือเตาบัต ทุกความผิดที่ได้กระทำบาปมา ถ้าเตาบัตจากความผิดที่ได้กระทำมาเพียงบางส่วน ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับกระทำผิดนั้น ส่วนบาปจากความผิดอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เตาบัตนั้นถือว่ายังคงมีบาปอยู่

      หลักฐานที่บ่งบอกว่าการเตาบัติเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำนั้น มีให้เห็นชัดเจนจากอัลกุรอาน หะดีษนบีและการเห็นตรงกันของบรรดาอุลามาอฺนักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับในอิสลาม

อัลลอฮฺ-ตะอาลา- ได้ตรัสว่า

وَتُوبُوا إِلَى اللَّهِ جَمِيعاً أَيُّهَ الْمُؤْمِنُونَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ

(และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษ(เตาบะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ) (อันนูร 24:31)

وَأَنِ ٱسۡتَغۡفِرُواْ رَبَّكُمۡ ثُمَّ تُوبُوٓاْ إِلَيۡهِ

(และพวกท่านจงขอนิรโทษจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์) (ฮูด 11:3)

أَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ تُوبُوٓاْ إِلَى ٱللَّهِ تَوۡبَةٗ نَّصُوحًا

(โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอลุแก่โทษแด่อัลลอฮฺด้วยการลุแก่โทษอย่างจริงจังเถิด) (อัตตะหฺรีม 66:8)

คำอธิบาย

เตาบะฮฺหรือเตาบัต เป็นภาษาอาหรับมาจากคำว่า التَوْبَة มาจากรากศัทท์ของคำว่า تَابَ، يَتُوبُ  แปลว่า "เมื่อกลับมา" ซึ่งในความหมายตามหลักศาสนบัญญัติแล้ว หมายถึง "หันกลับมาจากที่ได้กระทำในสิ่งที่ผิดตามบทบัญญัติอิสลาม ทำผิด(มะอฺศิยะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺ สู่การกระทำที่อัลลอฮฺโปรดปราน เป็นบ่าวผู้ภักดีและทำตามที่อัลลอฮฺทรงใช้"

การเตาบะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการหันกลับมาจากที่เคยปฏิเสธต่อพระเจ้า(กุฟุร) สู่การศรัทธามั่นในอัลลอฮฺ อันดับสองคือการเตาบะฮฺจากได้กระทำในบาปใหญ่[1] แล้วอันดับที่สามคือเตาบะฮฺจากบาปเล็กๆ

สรุปก็คือ ทุกคนย่อมทำผิด ผิดมากผิดน้อยขึ้นอยู่กับอีมานและความสำนึกของแต่ละบุคคล ดังนั้น การเตาบัตนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำ

ท่านนบี(ศ็อลฯ)กล่าวว่า

كلُّ بني آدمَ خطَّاءٌ وخيرُ الخطَّائين التوابونَ

(ลูกหลานท่านนบีอาดัม(มนุษย์)ทุกคนจะต้องทำผิด และคนทำผิดที่ดีที่สุดคือ คนที่เตาบัต) (อัตติรมีซียฺ : 2499,อะหฺมัด :13049)

เงื่อนไขในการเตาบัตอย่างที่อิมามอันนนะวาวียฺกล่าวว่า ในข้างต้นนั้นมี 3 + 1 เงื่อนไข แต่ถ้าเรียงตามขั้นตอนแล้วจะพบว่าอย่างน้อยต้องมี 5 เงื่อนไขหลัก คือ

  1. ต้องอิคลาศ ลิลลาฮฺ หมายถึง จะเตาบัตได้จนเป็นที่ยอมรับของการเตาบัตนั้น สิ่งแรกเริ่มที่ต้องทำคือต้องมาจากใจ ด้วยความจริงไจ ทำไปเพื่ออัลลอฮฺ ไม่ใช่ทำไปเพื่อให้คนเห็น หรือเพื่อให้เขาเลือกเราเป็นผู้แทนราษฎร เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน หรือเพื่อสิ่งอื่นใดที่ไม่ใช่ทำไปเพราะเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ
  2. จะต้องรู้สำนึกว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี รู้สึกผิด และเสียใจอย่างแท้จริง ที่ได้พลาดกระทำลงไป ซึ่งการรู้สึดผิดนี้เป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าคนๆ นั้นต้องการที่จะเตาบัตอย่างแท้จริง
  3. ต้องถอดถอนสิ่งที่ได้ทำผิด ถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเตาบัต เช่น ผิดเพราะไม่ได้ละหมาดหรือไม่ได้ถือศีลอด(ซึ่งเป็นบาปใหญ่) การถอนจากการกระทำผิดนี้ คือ ต้องละหมาดทันที หรือต้องถือศีลอดตามวาระที่สั่งใช้ และสิ่งที่ขาดหรือผิดเพราะไม่ได้ทำมานั้นต้องทยอยทำชดใช้ และถ้าเป็นการงานที่กระทำและอิสลามห้ามกระทำในสิ่งนั้น ก็ต้องหยุดกระทำทันที เช่น การทำไม่ดีกับพ่อแม่ ก็ต้องทำดีทันที ด้วยวิธีการต่างๆที่ ทำให้พ่อแม่สบายหรือพอใจ ถ้าเคยหลอกลวงหรือโกหกคนอื่นก็ต้องหยุดกระทำในสิ่งนั้น และการเตาบัตและไม่กระทำผิดแล้วนั้นไม่จำเป็นต้องประกาศหรือให้คนอื่นรู้ว่าเราเคยทำผิดอะไรไว้ ส่วนกรณีการนินทาคนอื่น อุลามาอฺมีความเห็นว่า ถ้าคนที่ถูกนินทารู้ว่านินทาเขาก็จะต้องไปขอโทษเขาและให้เขายกโทษให้ ส่วนคนที่ยังไม่รู้ว่าเรานินทาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปบอกเขา เพียงแต่ในกล่าวถึงเขาในคราวต่อไปควรกล่าวถึงความดีของเขาและสรรเสริญเขา เพราะอุลามาอฺมีความเห็นว่า การกระทำดีจะทำให้สิ่งที่ไม่ได้เลือนหายไป
  4. ต้องตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำในผิดนั้นอีก
  5. ต้องทำในเวลาที่ยังเปิดรับการเตาบะฮฺ ซี่งมีสองลักษณะ คือ ก่อนสิ้นลมหายใจ หรือก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นจากทิศตะวันตก (ถึงวันกะยามะฮฺ)

คนที่เตาบัตหรือคนที่สำนึกตัวว่าทำผิด จะไม่หวนกลบไปทำสิ่งนั้นอีก และขอลุโทษจากอัลลออฺ คนลักษณะนี้จะเป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จและได้รับชัยชนะ อย่างที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอายะฮฺอัลกุรอานในซูเราะฮฺ อันนูร 24:31 ตามที่ได้ยกมาข้างต้น …วัลลอฮุอะอฺลัม

—————————————————————–

[1] บาปใหญ่หรืออัลกะบาอิรฺ หมายถึงการกระทำที่ทำให้ได้รับบาปมากหรือใหญ่ บรรดาอุลามอฺมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องจำนวนของบาปใหญ่ บ้างว่ามี 7 บ้างว่า มี 70 หรือ 700 แต่ที่แน่ๆ คือ บาปใหญ่ในแต่ละชนิดมีขนาดไม่เท่ากัน ส่วนคนที่บอกว่ามี 7 อย่าง เขายึดตามหะดีษนบี(ศ็อลฯ) ที่ว่า

‏ ‏عَنْ ‏ ‏أَبِي هُرَيْرَةَ    أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏: ‏ اجْتَنِبُوا السَّبْعَ الْمُوبِقَاتِ ‏ ‏قِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا هُنَّ قَالَ الشِّرْكُ بِاللَّهِ وَالسِّحْرُ وَقَتْلُ النَّفْسِ الَّتِي حَرَّمَ اللَّهُ إِلَّا بِالْحَقِّ وَأَكْلُ مَالِ الْيَتِيمِ  وَأَكْلُ الرِّبَا ‏ ‏وَالتَّوَلِّي ‏ ‏يَوْمَ ‏ ‏الزَّحْفِ ‏ ‏وَقَذْفُ ‏ الْمُحْصِنَاتِ  ‏الْغَافِلَاتِ الْمُؤْمِنَاتِ (رواه مسلم)

รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ ว่า ท่านเราะซูล(ศอลฯ)ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงหลีกห่างจากบาปใหญ่เจ็ดชนิด มีผู้กล่าวว่า มันคืออะไรบ้างครับท่านเราะซูล?  ท่านได้ตอบว่า มันคือ การทำชิริกต่ออัลลอฮฺ การยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้าม ยกเว้นด้วยความชอบธรรม(ตามหลักศาสนา) การกินทรัพย์เด็กกำพร้า การกินดอกเบี้ย การหนีทัพในวันประจัญหน้า และการใส่ร้ายหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องว่า ทำซินา” (บันทึกโดยอิมามมุสลิม:89)

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ริยาดุศศอลิฮีน : หะดีษที่ 12 (ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺด้วยการอ้างอิงถึงความอิคลาศที่มีต่อพระองค์)

 



وعن أبي عَبْد الرَّحْمَن عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ بْنِ الْخطَّابِ، رضيَ اللهُ عنهما قَالَ: سَمِعْتُ رسولَ الله صَلّى اللهُ عَلَيْهِ وسَلَّم يَقُولُ:

        "انْطَلَقَ ثَلاَثَةُ نَفَرٍ مِمَّنْ كَانَ قَبْلَكُمْ حَتَّى آوَاهُمُ الْمُبِيتُ إِلَى غَارٍ فَدَخَلُوهُ، فانْحَدَرَتْ صَخْرةٌ مِنَ الْجبلِ فَسَدَّتْ عَلَيْهِمْ الْغَارَ، فَقَالُوا: إِنَّهُ لاَ يُنْجِيكُمْ مِنْ الصَّخْرَةِ إِلاَّ أَنْ تَدْعُوا الله تَعَالَى بِصَالِحِ أَعْمَالكُمْ 

        قَالَ رجلٌ مِنهُمْ: اللَّهُمَّ كَانَ لِي أَبَوانِ شَيْخَانِ كَبِيرانِ، وكُنْتُ لاَ أَغبِقُ قبْلَهُمَا أَهْلاً وَلا مالاً فنأَى بِي طَلَبُ الشَّجرِ يَوْماً فَلمْ أُرِحْ عَلَيْهمَا حَتَّى نَامَا فَحَلبْت لَهُمَا غبُوقَهمَا فَوَجَدْتُهُمَا نَائِميْنِ، فَكَرِهْت أَنْ أُوقظَهمَا وَأَنْ أَغْبِقَ قَبْلَهُمَا أَهْلاً أَوْ مَالاً، فَلَبِثْتُ وَالْقَدَحُ عَلَى يَدِى أَنْتَظِرُ اسْتِيقَاظَهُما حَتَّى بَرَقَ الْفَجْرُ وَالصِّبْيَةُ يَتَضاغَوْنَ عِنْدَ قَدَمى فَاسْتَيْقظَا فَشَربَا غَبُوقَهُمَا. اللَّهُمَّ إِنْ كُنْتُ فَعَلْتُ ذَلِكَ ابْتِغَاءَ وَجْهِكَ فَفَرِّجْ عَنَّا مَا نَحْنُ فِيهِ مِنْ هَذِهِ الصَّخْرَة، فانْفَرَجَتْ شَيْئاً لا يَسْتَطيعُونَ الْخُرُوجَ مِنْهُ. 

        قَالَ الآخر: اللَّهُمَّ إِنَّهُ كَانتْ لِيَ ابْنَةُ عمٍّ كانتْ أَحَبَّ النَّاسِ إِلَيَّ”وفي رواية: “كُنْتُ أُحِبُّهَا كَأَشد مَا يُحبُّ الرِّجَالُ النِّسَاءِ، فَأَرَدْتُهَا عَلَى نَفْسهَا فَامْتَنَعَتْ مِنِّى حَتَّى أَلَمَّتْ بِهَا سَنَةٌ مِنَ السِّنِينَ فَجَاءَتْنِى فَأَعْطَيْتُهِا عِشْرينَ وَمِائَةَ دِينَارٍ عَلَى أَنْ تُخَلِّىَ بَيْنِى وَبَيْنَ نَفْسِهَا ففَعَلَت، حَتَّى إِذَا قَدَرْتُ عَلَيْهَا”وفي رواية: “فَلَمَّا قَعَدْتُ بَيْنَ رِجْليْهَا، قَالتْ: اتَّقِ اللهَ وَلاَ تَفُضَّ الْخاتَمَ إِلاَّ بِحَقِّهِ، فانْصَرَفْتُ عَنْهَا وَهِىَ أَحَبُّ النَّاسِ إِليَّ وَتركْتُ الذَّهَبَ الَّذي أَعْطَيتُهَا، اللَّهُمَّ إِنْ كُنْتُ فَعْلتُ ذَلِكَ ابْتِغَاءَ وَجْهِكَ فافْرُجْ عَنَّا مَا نَحْنُ فِيهِ، فانفَرَجَتِ الصَّخْرَةُ غَيْرَ أَنَّهُمْ لا يَسْتَطِيعُونَ الْخُرُوجَ مِنْهَا.

        وقَالَ الثَّالِثُ: اللَّهُمَّ إِنِّي اسْتَأْجَرْتُ أُجرَاءَ وَأَعْطَيْتُهمْ أَجْرَهُمْ غَيْرَ رَجُلٍ وَاحِدٍ تَرَكَ الَّذي لَّه وَذَهبَ فثمَّرت أجْرَهُ حَتَّى كثرت منه الأموال فجائنى بَعدَ حِينٍ فَقالَ يَا عبدَ اللهِ أَدِّ إِلَيَّ أَجْرِي، فَقُلْتُ: كُلُّ مَا تَرَى منْ أَجْرِكَ: مِنَ الإِبِلِ وَالْبَقَرِ وَالْغَنَم وَالرَّقِيق فقالَ: يا عَبْدَ اللَّهِ لا تَسْتهْزيْ بي، فَقُلْتُ: لاَ أَسْتَهْزيُ بِكَ، فَأَخَذَهُ كُلَّهُ فاسْتاقَهُ فَلَمْ يَتْرُكْ مِنْه شَيْئاً، اللَّهُمَّ إِنْ كُنْتُ فَعَلْتُ ذَلِكَ ابْتغَاءَ وَجْهِكَ فافْرُجْ عَنَّا مَا نَحْنُ فِيهِ، فَانْفَرَجَتِ الصَّخْرَةُ فخرَجُوا يَمْشُونَ “

متفقٌ عليه.

ความว่า :

รายงานจาก อะบูอับดุลเราะฮฺมาน อับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏ็อบ(รอฎิฯ) เขาได้กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลเลาะฮฺ(ศ็อลฯ) กล่าวว่า

“มีชายสามคนจากบรรพชนที่อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเจ้าได้เดินทางจนถึงเวลานอนก็ได้เข้าพักในถ้ำแห่งหนึ่ง อยู่ๆ ก้อนหินจากภูเขาก็ถล่มลงมาปิดปากถ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า ไม่มี(สิ่งใด)ที่จะทำให้พวกท่านรอดพ้นจากหินนี้ได้หรอกนอกจากพวกเจ้าจะขอดุอาอฺต่ออัลเลาะฮฺ-ตะอาลา- ด้วยความดีของการงานที่ดีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้กระทำไว้

ชายคนหนึ่งในสามคนนั้นได้กล่าวว่า

“โอ้อัลลอฮฺ ฉันมีพ่อแม่ที่แก่แล้วทั้งสองคน ฉันไม่เคยให้ใครได้ดื่มนมก่อนท่านทั้งสองเลย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของฉันหรือคนใช้ อยู่มาวันหนึ่งฉันต้องเดินทางออกไปหาต้นไม้ที่ห่างไกล ฉันไม่สามารถกลับมาหาท่านทั้งสองให้นมแก่ท่านทั้งสองจนกระทั้งเวลานอน  ฉันได้รินน้ำนมแก่ท่านทั้งสองพบว่าท่านทั้งสองได้นอนหลับแล้ว ฉันไม่ชอบที่จะปลุกท่านทั้งสองและไม่ชอบที่จะให้ลูกหลานในครอบครัวของฉันหรือคนรับใช้ดื่มก่อน  ฉันอยู่ในลักษณะนั้น-ถ้วยเครื่องดื่มอยู่ในมือฉัน- รอจนกระทั้งท่านทั้งสองตื่นในตอนรุ่งเช้า และลูกเล็กก็ร้องไห้ด้วยความหิวอยู่ที่เท้าสองข้างของฉัน พ่อแม่ทั้งสองของฉันก็ตื่นขึ้นและดื่มน้ำนมที่ฉันได้เตรียมให้แก่ท่าน.. โอ้อัลลอฮฺ ถ้าสิ่งที่ฉันทำนี้เพื่อพระองค์ท่าน ขอให้พระองค์ทรงเปิดชองท่างให้แก่เราด้วยการเปิดหินที่ที่ปิดกั้นนี้”

ก้อนหินนั้นก็ได้เปิดเล็กน้อย แต่ยังไม่สามารถที่จะออกจากถ้ำนั้นได้

ชายอีกคนได้กล่าวว่า

“โอ้อัลลอฮฺ.. ฉันมีญาติผู้หญิงเป็นลูกพี่ลูกน้อง เธอเป็นหญิงสาวที่ฉันชอบมากที่สุด –บางรายงาน กล่าวว่า  “ฉันชอบเธอ อย่างที่ชายหนุ่มคลั้งไคล้หญิงสาว”- ฉันต้องการตัวเธอมาก แต่เธอปฏิเสธฉัน จนกระทั้งในปีหนึ่งได้ประสบความเดือนร้อน เธอก็ได้มาหาฉัน ฉันก็ได้เสนอเงินทองแก่เธอ 120 ดีนาร์ เพื่อที่ฉันจะได้ร่วมหลับนอนกับเธอ เธอก็ยอม เมื่อฉันสามารถทีจะหลับนอนกับเธอ -บางรายงานกล่าวว่า- “เมื่อฉันอยู่ระหว่างขาสองข้างของเธอ” เธอกล่าวว่า “เจ้าจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด เจ้าอย่าขยับเลื่อนแหวนเว้นแต่เจ้ามีสิทธิ์ในสิ่งนั้น” ฉันก็ละออกจากเธอ ทั้งที่เธอเป็นคนที่ฉันชอบมากที่สุด แล้วฉันก็สละเงินทองที่ฉันได้ให้แก่เธอ.. โอ้อัลลอฮฺ ฉันได้ทำอย่างนี้ เพราะพระองค์ท่าน ขอพระองค์ให้ก้อนหินนั้นเลื่อนออกไปจากฉัน”


ก้อนหินนั้นก็เลื่อนออกไป ทั้งสามคนก็ยังไม่สามารถออกไปได้

คนที่สาม ได้กล่าวว่า

“ฉันได้จ้างคนรับจ้างหลายคน ฉันก็ได้ให้ค่าจ้างแก่ทุกคน เว้นแต่ชายคนหนึ่งเขายังไม่ได้รับค่าจ้าง และเขาก็จากไป ฉันก็ได้นำค่าจ้างของเขาไปทำให้ออกดอกออกผล จนทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากนั้นเขาก็ได้มาหาฉัน แล้วกล่าวฉันว่า "โอ้อับดุลลอฮฺ.. ฉันขอค่าจ้างของฉัน” ฉันก็ได้กล่าวแก่เขาว่า “ทุกอย่างที่เจ้าเห็นนั้นคือค่าจ้างของเจ้า อูฐ วัว แกะและรวมถึงข้าทาส” เขากล่าวอีกว่า “โอ้อับดุลลอฮฺ.. อย่าล้อเล่นกับฉันเลย” ฉันก็กล่าวแก่เขาว่า “ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้า” แล้วเขาก็เอาไปหมดทุกอย่าง และไม่ทิ้งสิ่งใดเลย.. โอ้อัลลอฮฺ ถ้าการกระทำของฉันนี้เป็นการกระทำเพื่อพระองค์ท่านก็ขอให้พระองค์ เปิดทางให้เราที่อยู่ข้างในนี้"


 ก้อนหินนั้นก็เลื่อนออกไป ชายสามคนนั้นก็ได้ออกมาแล้วเดินไป

 

(มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ-อัลบุคอรียฺและมุสลิมได้บันทึกตรงกัน)


คำอธิบายหะดีษ

เหตุการณ์ที่ท่านนบี(ศ็อลฯ)เล่ามานี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว مِمَّنْ كَانَ قَبْلَكُمْ (จากบรรพชนที่อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเจ้า) มีทั้งหมดด้วยกัน 3 คน และทั้งสามคนนี้ได้ออกนอกหมู่บ้าน จนถึงเวลาที่จะต้องหยุดพัก ก็เข้าไปหลบอยู่ใน غَار (ถ้ำ) เป็นการหลบแดดหลบฝนหรือหลบจากสิ่งสาราสัตว์ที่อาจมาทำร้ายเขาได้ เมื่อทั้งสามคนเข้าไปอยู่ในถ้ำแล้ว อยู่ๆ ก็มี  صَخْرةٌ (ก้อนหิน)ตกลงมาปิดปากถ้ำ ทำให้เขาต้องตกอยู่ในถ้ำ ไม่สามารถออกมาข้างนอกหรือกลับบ้านได้ ผลัดกันผลักหรือร่วมมือกันผลักก็ไม่สามารถที่จะทำให้ก้อนหินนั้นขยับได้ ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้พวกเขารอดและออกจากถ้ำนั้นได้ คือ ความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างและผู้ทรงอำนาจในทุกสิ่งอย่างแท้จริง إِنَّهُ لاَ يُنْجِيكُمْ مِنْ الصَّخْرَةِ إِلاَّ أَنْ تَدْعُوا الله تَعَالَى  (ไม่มี(สิ่งใด)ที่จะทำให้พวกท่านรอดพ้นจากหินนี้ได้หรอกนอกจากพวกเจ้าจะขอดุอาอฺต่ออัลเลาะฮฺตะอาลา) และการขอจากพระองค์ครั้งนี้ให้อ้างอิงถึงความดีความชอบที่ได้เคยกระทำมาเพื่อพระองค์ أَنْ تَدْعُوا الله تَعَالَى بِصَالِحِ أَعْمَالكُمْ (ขอดุอาอฺต่ออัลเลาะฮฺตะอาลา ด้วยความดีของการงานที่ดีของพวกเจ้า) นักวิชาการศาสนากล่าวว่าการขอแบบนี้เป็นการขอแบบสื่อด้วยการงานที่เคยกระทำ

ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวในหะดีษนี้เป็นความดีที่คนทั้งสามได้สื่อถึง คนแรกเป็นการพูดถึงความดีของตนเองที่มีต่อพ่อแม่ของเขา คนที่สองเป็นการสร้างความดีด้วยการละทิ้งความชั่วเพราะความยำเกรงที่มีต่องอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจ และคนที่สามเป็นการซื่อสัตย์และการสร้างความดีให้แก่บุคคลอื่น

คนที่ 1: ชีวิตประวันของเขาเกี่ยวกับการทำดีกับพ่อแม่ ทุกวันเขาจะให้พ่อแม่ของเขาดื่มนมก่อนใครอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นลูก ภรรยาหรือทาสที่รับใช้เขา 

وكُنْتُ لاَ أَغبِقُ قبْلَهُمَا أَهْلاً وَلاَ مالاً  (และฉันไม่เคยให้ครอบครัวฉันและคนรับใช้ดื่มก่อนท่านทั้งสอง)

أَغبِقُ หมายถึงในอาหารเช้า และด้วยอาชีพที่เขาทำงาน การที่เขากล่าวให้ดื่มแบบนี้หมายถึงให้ดื่มนมจากที่เขาได้รีดจากแพะหรืออูฐที่เขาเลี้ยงอยู่

ชายคนนี้เลี้ยงแกะและทุกวันเขาจะพาแกะไปกินหญ้ากินใบไม้ข้างนอก และจะกลับมารีดนมให้พ่อและแม่ได้กินนมแกะของเขาก่อนที่จะให้แก่ลูก ภรรยาและคนอื่นๆในบ้าน

فنأَى بِي طَلَبُ الشَّجرِ يَوْماً (วันหนึ่งฉันต้องเดินทางออกไปหาต้นไม้ที่ห่างไกล) คือ ต้องพาแกะออกไปหาอาหารที่ไกลออกไปอีก ต้องใช้เวลาเดินทางนาน เมื่อกลับถึงบ้านพบว่า พ่อแม่ของเขาได้นอนหลับแล้ว เขาก็คิดว่าจะให้นมที่เขารีดนี้แก่ครอบครัวของเขาและคนอื่นๆก่อนพ่อแม่เขาหรือว่าจะรอให้พ่อแม่เขาตื่นก่อน ให้นมแก่พ่อแม่แล้วคนอื่นๆค่อนดื่มที่หลัง เขาตกลงเลือกวิธีที่สองคือถือถาดใส่นมรอพ่อแม่ตื่นจนสว่าง และเมื่อพ่อแม่เขาตื่น ได้ดื่มนมนั้นแล้ว เขาจึงให้คนอื่นๆในครอบครัวดื่มหลังจากพ่อแม่เขาได้ดื่มแล้ว

اللَّهُمَّ إِنْ كُنْتُ فَعَلْتُ ذَلِكَ ابْتِغَاءَ وَجْهِكَ فَفَرِّجْ عَنَّا مَا نَحْنُ فِيهِ (โอ้อัลลอฮฺ ถ้าสิ่งที่ฉันทำนี้เพื่อพระองค์ท่าน ขอให้พระองค์ทรงเปิดชองท่างให้แก่เรา) คือ โอ้อัลลลอฮฺ .. เมื่อฉันได้ทำเช่นนี้มีความบริสุทธิ์ใจ(อิคลาศ)เพื่อพระองค์แล้ว ขอให้พระองค์ให้เราได้ออกจากถ้ำที่ถูกปิดกั้นด้วยก้อนหินที่ปิดปากถ้ำอยู่

 فانْفَرَجَتْ شَيْئاً (แล้วก้อนหินนั้นก็ได้เคลื่น(เปิด)เล็กน้อย) ด้วยการงานที่อิคลาศที่เขาได้ทำมา เขาทำไปเพื่ออัลลอฮฺ และอิคลาศเป็นเงื่อนไขหลักเงื่อนไขหนึ่งที่การงานของเขาจะถูกอัลลอฮฺตอบรับ และด้วยเหตุผลที่เขาทำกับพ่อแม่อย่างที่เขาเล่ามานี้ อัลลอฮฺก็รอบการงานของเขาและเปิดช่องทางให้เขาได้ออกจากถ้ำ

คนที่ 2: เขาได้สื่อถึงความบริสุทธิ์จากความประพฤติผิดทางเพศของเขา คือ เขาได้ชอบพอกับลูกพี่ลูกน้องของเขาคนหนึ่ง ชอบมาก ชอบและคลั่งเหมือนชายคลั่งหญิงสาวทั่วๆ ไป

فَأَرَدْتُهَا عَلَى نَفْسهَا (แล้วฉันต้องการตัวนาง) ต้องการในที่นี้อุลามาอฺบางคนตีความหมายว่า ต้องการร่วมหลับนอนแบบซีนา(ผิดประเวณี)กับนาง

فَامْتَنَعَتْ مِنِّى (แล้วนางปฏิเสธตัวฉัน) คือ นางไม่ตกลงตามคำขอของเขา

حَتَّى أَلَمَّتْ بِهَا سَنَةٌ مِنَ السِّنِينَ (จนกระทั้งในปีหนึ่งนางได้ประสบความทุกข์ยาก) คือ ในปีที่แห้งแล้ง นางได้ประสบกับความยากจนและมีความต้องการเงินทองเพื่อเลี้ยงชีพมาก

فَجَاءَتْنِى فَأَعْطَيْتُهِا عِشْرينَ وَمِائَةَ دِينَارٍ (แล้วนางก็มาหาฉัน ฉันก็ให้เงินแก่นาง 120 ดีนารฺ) เมื่อความจำเป็นถึงขนาดนี้นางก็ยินยอมที่จะนอนกับเขา ด้วยค่าแลกเปลี่ยน 120 ดีนารฺ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่นางก็จำยอมและชายคนนั้นก็ได้กระทำเพื่อที่จะร่วมหลับนอนกับนาง

فَلَمَّا قَعَدْتُ بَيْنَ رِجْليْهَا، قَالتْ: اتَّقِ اللهَ وَلاَ تَفُضَّ الْخاتَمَ إِلاَّ بِحَقِّهِ (เมื่อฉันนั่งระหว่างขาสองข้างของนาง นางกล่าวว่า “เจ้าจองตักวา(ยำเกรง)ต่ออัลลอฮฺ และเจ้าอย่าขยับเลื่อนแหวน เว้นแต่เจ้ามีสิทธิ์ในสิ่งนั้น) คือ นางได้เตือนสติชายคนนี้ว่ากำลังกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ขอให้เกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจเหนื่อสิ่งอื่นใด

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชายคนนั้นก็สำนึกตนได้ ยกเลิกการกระทำชั่วนั้นในทันที และยอมมอบเงินให้แก่หญิงสาวคนนั้นไปอย่างไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ สิ่งที่เขาได้กระทำนี้ เขาทำไปเพื่ออัลลอฮฺ หรืออิคลาศไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด จึงขอให้พระองค์ทรงเลื่อนก้อนหินที่ปิดกั้นประตูถ้ำให้พวกเขาได้ออกจากถ้ำได้ และด้วยอิคลาศของเขานี้ก้อนหินก็ได้เลื่อนออกไป แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะออกได้ จนกว่าคนที่สามที่มีอยู่ในนั้นมาสื่อสัมพันธ์สิ่งที่เขาขอกับการงานที่เขาได้กระทำไป

คนที่ 3: ได้สื่อถึงอัลลอฮฺด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ในการทำงานของเขา เขาได้ว่าจ้างคนทำงาน และได้จ่ายค่าจ้างครบตามสัญญาทุกคน ยกเว้นมีชายคนหนึ่งที่เขายังไม่ได้มอบค่าจ้างให้ เพราะชายคนนั้นรีบจากไปก่อนที่จะได้รับค่าจ้าง แต่ชายคนที่สามนี้ก็เก็บค่าจ้างของเขาไว้พร้อมกับนำเงินจำนวนนั้นไปทำให้ออกดอกออกผล โดยการทำให้เป็นต้นทุน เลี้ยงสัตว์ อูฐ วัว แพะ แกะ และได้ข้าทาสที่รับใช้ จนสะสมเป็นจำนวนมาก และขยายไปเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งชายที่ไม่ได้รับค่าจ้างกลับมาหาเขาที่เป็นนายจ้างและกล่าวว่า

يَا عبدَ اللهِ أَدِّ إِلَيَّ أَجْرِي (โอ้อับดุลลอฮฺ-บ่าวของอัลลอฮฺ- ให้แก่ฉันเถิดค่าจ้างของฉัน) ชายคนที่ 3 นี้ก็กล่าวว่า

كُلُّ مَا تَرَى منْ أَجْرِكَ (ทุกอย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละคื่อค่าจ้างของเจ้า) คือ ทุกอย่างที่เขาเห็นข้างหน้าของเขา ซึ่งมี   الإِبِلِ وَالْبَقَرِ وَالْغَنَم وَالرَّقِيق (อูฐ วัว แกะและรวมถึงข้าทาส) ข้าทาสรับใช้การทำงาน จนทำให้ชายคนนี้ตกใจและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาฟัง لا تَسْتهْزيْ بي (เจ้าอย่าล้อเล้นกับฉัน) คือ คิดว่า นายจ้างที่เคยจ้างเขาล้อเล่นกับเขาว่า ค่าจ้างที่เขายังไม่ได้รับมีจำนวนมากมายอย่างที่เขาเห็น และนายจ้างของเขาก็ยืนยันว่า لاَ أَسْتَهْزيُ بِكَ (ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้า) และชายคนนั้นก็เอาค่าจ้างของเขาที่นายจ้างทำให้งอกงามได้เป็นจำนวนมากนั้นไปจนหมด

ชายคนที่สามนี้ก็ร้องขอต่ออัลลอฮฺด้วยกระทำของเขาที่จริงใจ อิคลาศต่อพระองค์ ว่า اللَّهُمَّ إِنْ كُنْتُ فَعَلْتُ ذَلِكَ ابْتغَاءَ وَجْهِكَ فافْرُجْ عَنَّا مَا نَحْنُ فِيهِ،(โอ้อัลลอฮฺ ถ้าการกระทำของฉันนี้เป็นการกระทำเพื่อพระองค์ท่านก็ขอให้พระองค์  เปิดทางให้เราที่อยู่ข้างในนี้ )

فَانْفَرَجَتِ الصَّخْرَةُ فخرَجُوا يَمْشُونَ (ก้อนหินนั้นก็เลื่อนออกไป ชายสามคนนั้นก็ได้ออกมาแล้วเดินไป) ด้วยการกระทำที่บริสุทธิ์(อิคลาศ)ใจต่ออัลลของพวกเขาทั้งสาม ก้อนหินที่ปิดปากประตูถ้ำก็เลื่อนออกจนสามารถที่จะผ่านออกไปได้ และชายทั้งสามคนนั้นก็เดินออกไป

บทเรียนจากหะดีษนี้

การทำดีกับพ่อแม่ ด้วยความจริงจัง จริงใจ และไม่ได้ทำเพื่อให้คนเห็น แต่ทำไปเพราะเกรงกลัวในอัลลอฮฺ ทำตามที่อัลลอฮฺบัญญัติใช้

وَقَضَىٰ رَبُّكَ أَلَّا تَعۡبُدُوٓاْ إِلَّآ إِيَّاهُ وَبِٱلۡوَٰلِدَيۡنِ إِحۡسَٰنًاۚ إِمَّا يَبۡلُغَنَّ عِندَكَ ٱلۡكِبَرَ أَحَدُهُمَآ أَوۡ كِلَاهُمَا فَلَا تَقُل لَّهُمَآ أُفّٖ وَلَا تَنۡهَرۡهُمَا وَقُل لَّهُمَا قَوۡلٗا كَرِيمٗا

(และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และจงทำดีต่อบิดามารดา เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า "อุฟ" และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน)(ซูเราะฮฺ อัลอิซรออฺ 17:23)

ความบริสุทธิจากการกระทำผิดทางเพศ ในเรื่องนี้แม้ว่าจะฝ่ายหญิงจะยินยอมแล้วด้วยความจำเป็น เพราะขัดสนในปัจจัยยังชีพที่จำเป็น แต่ด้วยคำเตือนให้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า การควรและไม่ควร ทั้งตามหลักศาสนาและหลักวัฒนธรรมประเพณี และด้วยความเกรงกลัวอัลลอฮฺเขาก็ยอมละทิ้งความใคร่ของตนเอง พร้อมกับยอมสละทรัพย์ที่ควรจะได้สิ่งแลกเปลี่ยนแต่เขาก็ยอมให้เสียไป เพราะเกรงกลัวอัลลอฮฺ คนที่เกรงกลัวอัลลอฮฺ ยอมละทิ้งความต้องการของจิตใฝ่ต่ำของตนเอง เพื่อรักษาความบริสุทธิต่อการประพฤติผิดทางเพศ เป็นการกระทำที่ดีและน่ายกย่อง ท่านนบี(ศ็อลฯ)  ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า ในวันที่แดดร้อนจัดแผดเผาในวันกิยามะฮฺ ไม่มีร่มเงาใดที่จะให้เงาได้ นอกจากร่มเงาจากอัลลอฮฺ และหนึ่งในคุณสมบัติของบุคคลที่จะได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของอัลลอฮฺในวันนั้น คือ وَرَجُلٌ دَعَتْهُ امْرَأَةٌ ذَاتُ مَنْصِبٍ وَجَمَالٍ (และชายที่เมื่อมีหญิงสาวที่มีฐานะดีและสวยงานเชิญชวนเขา(ในให้ร่วมหลับนอนกับนาง) เขากล่าวว่า   إِنِّي أَخَافُ اللَّهَ  (ฉันกลัวอัลลอฮฺ)) (บันทึกโดยมุสลิม :1718)

ความซื้อสัตยฺสุจริตในหน้าที่การงาน แม้เวลาล่วงเลยมานานแสนนาน สิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองก็ควรรักษาไว และคืนให้เจ้าของ ถ้าสิ่งนั้นมีการเจริญงอกงามตามช่วงเวลาที่เจ้าของเขาจะมารับ ก็ควรคืนให้เขาหมดทั้งสิ่งที่เขาทิ้งไว้และสิ่งที่เป็นผลผลิตงอกงามจากสิ่งที่เขาทิ้งไป

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เศาะหีหุลบุคอรีย์ 76(78) : เรื่อง ออกไปแสวงหาความรู้

 

แม้จะไกลแค่ไหน ลำบากอย่างไร ก็ออกไปหา



ญาบิรฺ อิบนุอับดุลลอฮฺ ได้เดินทางไปหาอับดุลลอฮฺ อิบนุอุไนซ เป็นเวลานานถึง 1 เดือน เพื่อเพียงแค่หะดีษเดียว 

78 حَدَّثَنَا أَبُو الْقَاسِمِ خَالِدُ بْنُ خَلِيٍّ قَاضِي حِمْصَ قَالَ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ حَرْبٍ قَالَ حَدَّثَنَا الْأَوْزَاعِيُّ أَخْبَرَنَا الزُّهْرِيُّ عَنْ عُبَيْدِ اللَّهِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُتْبَةَ بْنِ مَسْعُودٍ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ أَنَّهُ تَمَارَى هُوَ وَالْحُرُّ بْنُ قَيْسِ بْنِ حِصْنٍ الْفَزَارِيُّ فِي صَاحِبِ مُوسَى فَمَرَّ بِهِمَا أُبَيُّ بْنُ كَعْبٍ فَدَعَاهُ ابْنُ عَبَّاسٍ فَقَالَ إِنِّي تَمَارَيْتُ أَنَا وَصَاحِبِي هَذَا فِي صَاحِبِ مُوسَى الَّذِي سَأَلَ السَّبِيلَ إِلَى لُقِيِّهِ هَلْ سَمِعْتَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَذْكُرُ شَأْنَهُ فَقَالَ أُبَيٌّ نَعَمْ سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَذْكُرُ شَأْنَهُ يَقُولُ  بَيْنَمَا مُوسَى فِي مَلَإٍ مِنْ بَنِي إِسْرَائِيلَ إِذْ جَاءَهُ رَجُلٌ فَقَالَ أَتَعْلَمُ أَحَدًا أَعْلَمَ مِنْكَ قَالَ مُوسَى لَا فَأَوْحَى اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ إِلَى مُوسَى بَلَى عَبْدُنَا خَضِرٌ فَسَأَلَ السَّبِيلَ إِلَى لُقِيِّهِ فَجَعَلَ اللَّهُ لَهُ الْحُوتَ آيَةً وَقِيلَ لَهُ إِذَا فَقَدْتَ الْحُوتَ فَارْجِعْ فَإِنَّكَ سَتَلْقَاهُ فَكَانَ مُوسَى صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ يَتَّبِعُ أَثَرَ الْحُوتِ فِي الْبَحْرِ فَقَالَ فَتَى مُوسَى لِمُوسَى أَرَأَيْتَ إِذْ أَوَيْنَا إِلَى الصَّخْرَةِ فَإِنِّي نَسِيتُ الْحُوتَ وَمَا أَنْسَانِيهِ إِلَّا الشَّيْطَانُ أَنْ أَذْكُرَهُ قَالَ مُوسَى ذَلِكَ مَا كُنَّا نَبْغِي فَارْتَدَّا عَلَى آثَارِهِمَا قَصَصًا فَوَجَدَا خَضِرًا فَكَانَ مِنْ شَأْنِهِمَا مَا قَصَّ اللَّهُ فِي كِتَابِهِ


ความว่า :

อะบู อัลกอซิม คอลิด บิน คอลีย์ ผู้พิพากษาเมืองฮิมซี ได้บอกเราว่ามุหัมมัด บิน หะรฺบิน ได้บอกเรา อัล เอาซาอีย์ ได้แจ้งเราว่า อัซซุฮรีย์ ได้รับรายงานจากอุไบยดิลลาฮฺ อิบนุอับดุลลอฮฺ อิบนุอุตบะฮฺ อิบนุมัซอูดว่า ได้รับรายงานจาก อิบนุ อับบาซ ว่า

เขาและอัลหุรฺรุ อิบนุไกซฺ อิบนุหิศนิ อัลฟะซารีย์ โต้แย้งเกี่ยวกับสหายของนบีมูซา(อะลัยฮิซซะลาม) อุไบ อิบนุกะอับ ก็ได้เดินผ่านพวกเขาทั้งสอง อิบนุอับบาซก็เรียกเขา แล้วบอกเขาว่า  "ฉันและเพื่อนของฉันกำลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับสหายของนบีมูซาที่ถูกถามเกี่ยวกับเส้นทางที่ทำจะไปพบเขา ท่านเคยได้ยินท่านนบี(ศ็อลฯ)บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่" [อุไบ อิบนุกะอับ] กล่าวว่า : "ระหว่างที่นบีมูซาอยู่ท่ามกลางชนเผ่าบะนีอิสมาอีล มีชายคนหนึ่งเข้ามาถามว่า: เจ้ารู้จักคนที่รู้ยิ่งกว่าไหม?" มูซา(อะลัยฮิสลาม) กล่าวว่า "ไม่" ดังนั้น อัลลอฮฺ(ตะอาลา)ได้ทรงวะหฺยูแก่นบีมูซาว่า "มีบ่าวของเราชื่อเคาะดิรฺ" ดังนั้น มูซา(อะลัยฮิสสลาม)จึงขอพบเขา อัลลอฮ์ทรงให้ปลาสัญญาณ และมีผู้บอกเขาว่า "ถ้าปลาหายก็กลับมาเดี๋ยวก็เจอเขา"  มูซา(อะลัยฮิสสลาม) จึงเดินตามร่องรอยของปลาในทะเล คนใช้ของนบีมูซากล่าวแก่ท่านว่า:  "ท่านมิเห็นดอกหรือ เมื่อเราพักอยู่ที่ก้อนหิน แท้จริงฉันลืมที่จะพูดถึงเรื่องปลาและไม่มีผู้ใดที่ทำให้ฉันลืมกล่าวถึงมันนอกจากชัยฏอน"(18:63)  และมูซา(อะลัยฮิสลาม) ได้กล่าวว่า "(นบีมูซา)เขากล่าวว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการหา ดังนั้น ทั้งสองจึงหวนกลับตามร่องรอยไปที่เดิม"(18:64) แล้วทั้งสองก็ได้พบกับเคาะฎิรฺ ตามที่ทั้งสองต้องการ ซึ่งเป็นเรื่องที่อัลลอฮฺได้ลิขิตไว้ในคัมภีร์ของพระองค์