بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ
وَالسَّمَاءِ ذَاتِ الْبُرُوجِ (1)ـ وَالْيَوْمِ الْمَوْعُودِ (2)ـ وَشَاهِدٍ وَمَشْهُودٍ (3)ـ قُتِلَ أَصْحَابُ الْأُخْدُودِ (4)ــ
ซูเราะฮฺ อัล-บุรูจ เป็นซูเราะฮฺอันดับที่ 85 ในอัลกุรอานที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 22 อายัต เป็นซูเราะฮฺที่ประทานลงมาในสมัยที่ท่านนบี-ศ็อลฯ-ยังอยู่ ณ เมืองมักกะฮฺ หรือที่เรียกว่าซูเราะฮฺมักกียะฮฺ เนื้อหาหลักของซูเราะฮฺมักกียะฮฺเกี่ยวกับความศรัทธาในอัลลอฮฺ ซูเราะฮฺ อัลบุรูจนี้ก็เช่นกันจะเน้นในเรื่องความศรัทธาในอัลลอฮฺ และเรื่องเราในซูเราะฮฺจะพูดถึง "อัศหาบุลอุคดูด" คือ กลุ่มคนยอมเสียสละชีวิต ยอมกระโดดลงในกองไฟ เพื่อรักศรัทธาที่เขายึดมั่น1. ขอสาบานด้วยชั้นฟ้าที่เกลื่อนกลาดด้วยดวงดาว
2. และด้วยวันที่ถูกสัญญาไว้
3. และด้วยผู้เป็นพยานและผู้ที่ถูกเป็นพยาน
4. บรรดาเจ้าของหลุมพรางถูกสาปแช่ง
عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ ، أَنّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ " يَقْرَأُ فِي الظُّهْرِ وَالْعَصْرِ بِالسَّمَاءِ ذَاتِ الْبُرُوجِ ، وَالسَّمَاءِ وَالطَّارِقِ وَنَحْوِهِمَا "
ความว่า : รายงานจาก ญาบิรฮฺ อิบนุ ซะมุเราะฮฺ ว่า ท่านนบี-ศ็อลฯ- ได้อ่านในละหมาดซุฮฺรฺและอัศรฺ และในทำนองนี้ (บันทึกโดย อันนะซาอี)وَالسَّمَاءِ ذَاتِ الْبُرُوجِ (1)ـ (ขอสาบานด้วยชั้นฟ้าที่เกลื่อนกลาดด้วยดวงดาว)
الْبُرُوجِ อัลบุรูจ หมายถึง ดวงดาว ทั้งที่เป็นดาวเคราะห์์(الكواكب)และดาวฤกษ์(النجوم)وَالْيَوْمِ الْمَوْعُودِ (2)ـ (และด้วยวันที่ถูกสัญญาไว้)
อิบนุอับบาซและอัฎเฎาะหาก บอกว่าหมายถึง วัง(فصور) บางท่านบอกว่า หมายถึง บ้านหรือที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะคำว่า บุรูจ เป็นคำพหูพจน์ของคำว่า บุรฺจฺ คือ บ้านที่อยู่ในที่สูงกว่าพื้นดิน หรือหอคอย ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
أَيْنَمَا تَكُونُواْ يُدْرِككُّمُ الْمَوْتُ وَلَوْ كُنتُمْ فِي بُرُوجٍ مُّشَيَّدَةٍ
(ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ความตายก็ย่อมมาถึงพวกเจ้า และแม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในป้อมปราการอันสูงลิ้วก็ตาม )(ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ 4:78)(ตัฟซีรฺ อัฏเฎาะบะรี)وَالسَّمَاءِ ذَاتِ الْبُرُوجِ "วัซซะมาอิ ซาติล บุรูจ".. วา"وَ" ในที่นี้หมายถึงสาบาน อัลลอฮฺได้สาบานด้วยชั้นฟ้าที่ประกอบไปด้วยดวงดาวที่สูงตระหง่าน
สาบานด้วยชั้นฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันประกอบด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวอื่นๆมากมาย ที่หาคุณค่าและคุณประโยชน์แก่โลกที่เป็นแหล่งของสิ่งมีชีวิตมากมาย ถ้าชั้นฟ้าม้วนสลาย ดวงดาวก็จะขาดหายไปและมนุษย์โลกก็จะสูญสิ้น
อัลลอฮฺได้สาบานด้วยวันที่สัญญา นั้นคือ วันกิยามะฮฺ อิบนุอับบาซ กล่าวว่า เป็นวันที่รวบรวมชาวโลกและชาวฟากฟ้าในวันนั้น วันกิยามะฮฺوَشَاهِدٍ وَمَشْهُودٍ (3)ـ (และด้วยผู้เป็นพยานและผู้ที่ถูกเป็นพยาน)
และอัลลอฮฺได้สาบานอีกด้วย ผู้เป็นพยานแล(ชาฮิด:شاهد)ผู้ที่ถูกเป็นพยาน(มัชฮูด : مشهود) หมายถึง วันศุกร์และวันอะรอฟะฮฺ ท่านนบี-ศอลฯ- ได้กล่าว่า
لا يَخْرُجُ مِنَ الْمَسْجِدِ بَعْدَ النِّدَاءِ يَوْمَ الْجُمُعَةِ إِلا مُنَافِقٌ ، إِلا رَجُلٌ أَخْرَجَتْهُ حَاجَةٌ وَهُوَ يُرِيدُ أَنْ يَرْجِعَ فَيُصَلِّيَ ، قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " سَيِّدُ الأَيَّامِ يَوْمُ الْجُمُعَةِ ، وَهُوَ الشَّاهِدُ ، وَالْمَشْهُودُ يَوْمُ عَرَفَةَ
قُتِلَ أَصْحَابُ الْأُخْدُودِ (4)ـ (บรรดาเจ้าของหลุมพรางถูกสาปแช่ง)ความว่า : "ไม่มีผู้ใดหลังจากเสียงร้องเชิญละหมาดในวันญุมอะฮฺ เว้นแต่คนกลับกลอก(มุนาฟิก) เว้นแต่ชายที่ออกไปเพื่อธุระจำเป็น เขาต้องการที่จะกลับมา แล้วเขาละหมาด" ท่านเราะซูลุลอฮฺ-ศอลฯ- กล่าวอีกว่า "วันที่ยิ่งใหญ่คือวันศุกร์ คือวัน ชาฮิด(ผู้เป็นพยาน) และวันมัชฮูด(ผู้ถูกเป็นพยาน) คือ วัน อะรอฟะฮฺ" (หะดีษหะซัน เศาะหีห , مسند الربيع بن حبيب)
قُتِلَ (กุติลา) แปลว่าถูกฆ่า แต่ในที่นี้หมายถูกสาบแช่ง
أَصْحَابُ (อัศหาบ) เป็นคำพหูพจน์ของคำว่า صَاحب (ศอหิบ) แปลว่า เจ้าของ صاحب الكتاب (ศอหิบุลกิตาบ) เจ้าของหนังสือ
الْأُخْدُودِ หลุมยาว คล้ายแม่นำหรือลำคลอง หรือหลุมเพลาะ พหูพจน์ของคำนี้ คือ أَخاديد (อะคอดีด) และหลุมเพลาะในที่นี้หมายถึงหลุมยาวที่กษัตริย์สมัยนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคนที่เชื่อและศรัทธาในอัลลออฺ ไม่เชื่อและไม่ศรัทธาพระองค์ที่กษัตริย์
اقُتِلَ أَصْحَابُ الْأُخْدُودِ หมายถึงคนที่เป็นเจ้าของหลุมยาวที่กล่าวนี้ ถูกสาปแช่ง จะได้รับโทษมหันต์ในภายหลัง
เรืองนี้มีหะดีษรายงานว่า
عَنْ صُهَيْبٍ ، أَنّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ : " كَانَ مَلِكٌ فِيمَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ ، وَكَانَ لَهُ سَاحِرٌ ، فَلَمَّا كَبِرَ ، قَالَ لِلْمَلِكِ : إِنِّي قَدْ كَبِرْتُ ، فَابْعَثْ إِلَيَّ غُلَامًا أُعَلِّمْهُ السِّحْرَ ، فَبَعَثَ إِلَيْهِ غُلَامًا يُعَلِّمُهُ ، فَكَانَ فِي طَرِيقِهِ إِذَا سَلَكَ رَاهِبٌ ، فَقَعَدَ إِلَيْهِ وَسَمِعَ كَلَامَهُ ، فَأَعْجَبَهُ ، فَكَانَ إِذَا أَتَى السَّاحِرَ مَرَّ بِالرَّاهِبِ ، وَقَعَدَ إِلَيْهِ ، فَإِذَا أَتَى السَّاحِرَ ضَرَبَهُ ، فَشَكَا ذَلِكَ إِلَى الرَّاهِبِ ، فَقَالَ : إِذَا خَشِيتَ السَّاحِرَ ، فَقُلْ حَبَسَنِي أَهْلِي ، وَإِذَا خَشِيتَ أَهْلَكَ ، فَقُلْ حَبَسَنِي السَّاحِرُ ، فَبَيْنَمَا هُوَ كَذَلِكَ إِذْ أَتَى عَلَى دَابَّةٍ عَظِيمَةٍ قَدْ حَبَسَتِ النَّاسَ ، فَقَالَ : الْيَوْمَ أَعْلَمُ آلسَّاحِرُ أَفْضَلُ أَمْ الرَّاهِبُ أَفْضَلُ ، فَأَخَذَ حَجَرًا ، فَقَالَ : اللَّهُمَّ إِنْ كَانَ أَمْرُ الرَّاهِبِ أَحَبَّ إِلَيْكَ مِنْ أَمْرِ السَّاحِرِ ، فَاقْتُلْ هَذِهِ الدَّابَّةَ حَتَّى يَمْضِيَ النَّاسُ ، فَرَمَاهَا فَقَتَلَهَا ، وَمَضَى النَّاسُ ، فَأَتَى الرَّاهِبَ فَأَخْبَرَهُ ، فَقَالَ لَهُ الرَّاهِبُ : أَيْ بُنَيَّ أَنْتَ الْيَوْمَ أَفْضَلُ مِنِّي قَدْ بَلَغَ مِنْ أَمْرِكَ مَا أَرَى ، وَإِنَّكَ سَتُبْتَلَى فَإِنِ ابْتُلِيتَ فَلَا تَدُلَّ عَلَيَّ ، وَكَانَ الْغُلَامُ يُبْرِئُ الْأَكْمَهَ وَالْأَبْرَصَ ، وَيُدَاوِي النَّاسَ مِنْ سَائِرِ الْأَدْوَاءِ ، فَسَمِعَ جَلِيسٌ لِلْمَلِكِ كَانَ قَدْ عَمِيَ ، فَأَتَاهُ بِهَدَايَا كَثِيرَةٍ ، فَقَالَ : مَا هَاهُنَا لَكَ أَجْمَعُ إِنْ أَنْتَ شَفَيْتَنِي ، فَقَالَ : إِنِّي لَا أَشْفِي أَحَدًا إِنَّمَا يَشْفِي اللَّهُ ، فَإِنْ أَنْتَ آمَنْتَ بِاللَّهِ دَعَوْتُ اللَّهَ فَشَفَاكَ ، فَآمَنَ بِاللَّهِ فَشَفَاهُ اللَّهُ ، فَأَتَى الْمَلِكَ فَجَلَسَ إِلَيْهِ كَمَا كَانَ يَجْلِسُ ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ : مَنْ رَدَّ عَلَيْكَ بَصَرَكَ ؟ ، قَالَ : رَبِّي ، قَالَ : وَلَكَ رَبٌّ غَيْرِي ؟ ، قَالَ : رَبِّي وَرَبُّكَ اللَّهُ ، فَأَخَذَهُ فَلَمْ يَزَلْ يُعَذِّبُهُ حَتَّى دَلَّ عَلَى الْغُلَامِ ، فَجِيءَ بِالْغُلَامِ ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ : أَيْ بُنَيَّ قَدْ بَلَغَ مِنْ سِحْرِكَ مَا تُبْرِئُ الْأَكْمَهَ وَالْأَبْرَصَ ، وَتَفْعَلُ وَتَفْعَلُ ، فَقَالَ : إِنِّي لَا أَشْفِي أَحَدًا إِنَّمَا يَشْفِي اللَّهُ ، فَأَخَذَهُ فَلَمْ يَزَلْ يُعَذِّبُهُ حَتَّى دَلَّ عَلَى الرَّاهِبِ ، فَجِيءَ بِالرَّاهِبِ ، فَقِيلَ لَهُ : ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ ، فَأَبَى فَدَعَا بِالْمِئْشَارِ ، فَوَضَعَ الْمِئْشَارَ فِي مَفْرِقِ رَأْسِهِ ، فَشَقَّهُ حَتَّى وَقَعَ شِقَّاهُ ثُمَّ جِيءَ بِجَلِيسِ الْمَلِكِ ، فَقِيلَ لَهُ : ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ ، فَأَبَى فَوَضَعَ الْمِئْشَارَ فِي مَفْرِقِ رَأْسِهِ ، فَشَقَّهُ بِهِ حَتَّى وَقَعَ شِقَّاهُ ، ثُمَّ جِيءَ بِالْغُلَامِ ، فَقِيلَ لَهُ : ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ ، فَأَبَى فَدَفَعَهُ إِلَى نَفَرٍ مِنْ أَصْحَابِهِ ، فَقَالَ : اذْهَبُوا بِهِ إِلَى جَبَلِ كَذَا وَكَذَا ، فَاصْعَدُوا بِهِ الْجَبَلَ ، فَإِذَا بَلَغْتُمْ ذُرْوَتَهُ ، فَإِنْ رَجَعَ عَنْ دِينِهِ وَإِلَّا فَاطْرَحُوهُ ، فَذَهَبُوا بِهِ فَصَعِدُوا بِهِ الْجَبَلَ ، فَقَالَ : اللَّهُمَّ اكْفِنِيهِمْ بِمَا شِئْتَ ، فَرَجَفَ بِهِمُ الْجَبَلُ ، فَسَقَطُوا وَجَاءَ يَمْشِي إِلَى الْمَلِكِ ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ : مَا فَعَلَ أَصْحَابُكَ ؟ ، قَالَ : كَفَانِيهِمُ اللَّهُ ، فَدَفَعَهُ إِلَى نَفَرٍ مِنْ أَصْحَابِهِ ، فَقَالَ : اذْهَبُوا بِهِ ، فَاحْمِلُوهُ فِي قُرْقُورٍ ، فَتَوَسَّطُوا بِهِ الْبَحْرَ ، فَإِنْ رَجَعَ عَنْ دِينِهِ ، وَإِلَّا فَاقْذِفُوهُ ، فَذَهَبُوا بِهِ ، فَقَالَ : اللَّهُمَّ اكْفِنِيهِمْ بِمَا شِئْتَ ، فَانْكَفَأَتْ بِهِمُ السَّفِينَةُ ، فَغَرِقُوا وَجَاءَ يَمْشِي إِلَى الْمَلِكِ ، فَقَالَ لَهُ : الْمَلِكُ مَا فَعَلَ أَصْحَابُكَ ؟ ، قَالَ : كَفَانِيهِمُ اللَّهُ ، فَقَالَ لِلْمَلِكِ : إِنَّكَ لَسْتَ بِقَاتِلِي حَتَّى تَفْعَلَ مَا آمُرُكَ بِهِ ، قَالَ : وَمَا هُوَ ؟ ، قَالَ : تَجْمَعُ النَّاسَ فِي صَعِيدٍ وَاحِدٍ ، وَتَصْلُبُنِي عَلَى جِذْعٍ ثُمَّ خُذْ سَهْمًا مِنْ كِنَانَتِي ، ثُمَّ ضَعِ السَّهْمَ فِي كَبِدِ الْقَوْسِ ، ثُمَّ قُلْ : بِاسْمِ اللَّهِ رَبِّ الْغُلَامِ ، ثُمَّ ارْمِنِي ، فَإِنَّكَ إِذَا فَعَلْتَ ذَلِكَ قَتَلْتَنِي ، فَجَمَعَ النَّاسَ فِي صَعِيدٍ وَاحِدٍ وَصَلَبَهُ عَلَى جِذْعٍ ، ثُمَّ أَخَذَ سَهْمًا مِنْ كِنَانَتِهِ ، ثُمَّ وَضَعَ السَّهْمَ فِي كَبْدِ الْقَوْسِ ، ثُمَّ قَالَ : بِاسْمِ اللَّهِ رَبِّ الْغُلَامِ ثُمَّ رَمَاهُ ، فَوَقَعَ السَّهْمُ فِي صُدْغِهِ ، فَوَضَعَ يَدَهُ فِي صُدْغِهِ فِي مَوْضِعِ السَّهْمِ ، فَمَاتَ ، فَقَالَ : النَّاسُ آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ ، آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ ، آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ ، فَأُتِيَ الْمَلِكُ ، فَقِيلَ لَهُ : أَرَأَيْتَ مَا كُنْتَ تَحْذَرُ ، قَدْ وَاللَّهِ نَزَلَ بِكَ حَذَرُكَ قَدْ آمَنَ النَّاسُ ، فَأَمَرَ بِالْأُخْدُودِ فِي أَفْوَاهِ السِّكَكِ ، فَخُدَّتْ وَأَضْرَمَ النِّيرَانَ ، وَقَالَ : مَنْ لَمْ يَرْجِعْ عَنْ دِينِهِ ، فَأَحْمُوهُ فِيهَا أَوْ قِيلَ لَهُ اقْتَحِمْ ، فَفَعَلُوا حَتَّى جَاءَتِ امْرَأَةٌ وَمَعَهَا صَبِيٌّ لَهَا ، فَتَقَاعَسَتْ أَنْ تَقَعَ فِيهَا ، فَقَالَ لَهَا : الْغُلَامُ يَا أُمَّهْ اصْبِرِي ، فَإِنَّكِ عَلَى الْحَقِّ "
ความว่า : รายงานจาก ศุไฮบฺ ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ-ศ็อลฯ- ได้กล่าวว่า "ในสมัยก่อนพวกเจ้ามีกษัตริย์องค์หนึ่ง กษัตริย์องค์นี้จะมีโหรประจำตัว เมื่อโหรคนนี้แก่ชราก็ได้บอกแก่กษัตริย์ว่า "ฉันแก่แล้ว จงส่งเด็กหนุ่มมาแก่ฉัน ฉันจะสอนวิชาโหรแก่เขา" ระหว่างที่ที่เด็กหนุ่มคนนี้เดินทางไปเรียนกับโหรผู้นี้ ระว่างทางจะเจอนักพรตคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้ก็นั่งฟังนักพรตสอนและติดใจ ทุกครั้งที่เขาไปหาโหรเขาจะผ่านนักพรตคนนี้และนั่งฟังเขาสอน (ทำให้สาย) พอถึงบ้านโหรก็จะถูกทำโทษ และเมื่อกลับบ้านก็จะผ่านบ้านนักพรตก็จะฟังนักพรตอีก เมื่อถึงบ้านก็ถูกทางบ้านทำโทษอีก เขาก็ได้เล่าให้นักพรตฟัง นักพรตก็บอกเขาว่า "เมื่อเจ้าไปหาโหร(ช้า)เจ้าก็บอกว่า ที่้บ้านขังฉัน และเมื่อกลับไปยังบ้าน บอกทางบ้านว่า โหรขังฉัน" ระหว่างที่เขาทำแบบนั้นอยู่นั้น ก็มีสัตว์ประหลาดขัดขวางผู้คน และเด็กหนุ่มคนนี้กล่าวว่า "วันนี้จะได้รู้ว่าใครดีกว่ากัน นักพรตหรือโหร" แล้วเขาก็หยิบก้อนหินขึ้นแล้วกล่าวว่า " โอ้อัลลอฮฺ.. ถ้าการกระทำของนักพรตเป็นสิ่งที่พระองค์ ทรงยินดีกว่าการกระทำของโหร จงฆ่าสัตว์ประหลาดนี้และผู้คนสามารถเดินผ่านไปได้" เขาก็ขว้างก้อนหินนั้น และฆ่าสัตว์ตัวนั้นได้ แล้วผู้คนก็สามารถเดินผ่านไปได้ เขาจึงได้ไปหานักพรตและเล่าเรื่องนี้ให้นักพรตฟัง นักพรตกล่าวว่า " ใช่ลูกรัก.. วันนี้เจ้าดีกว่าฉัน การงานของเจ้าบรรลุตามที่ฉันเห็นแล้ว ต่อไปเจ้าจะถูกทดสอบ เมื่อเจอบททดสอบแล้วเจ้า(จงเศาะบัร-อดทน) อย่าอ้างอิงฉัน ". เด็กหนุ่มคนนี้ สามารถรักษาคนตาบอดได้ รักษาโรคเรื้อนและสามารถรักษาผู้คนที่เป็นโรคต่างๆได้ มีที่ปรึกษากษัตริย์คนหนึ่งตาบอดได้ยินข่าวนี้ ก็ไปหาชายหนุ่มคนนี้ด้วยของฝากมากมาย และกล่าวแก่ชายหนุ่มว่า "ถ้าเจ้าสามารถรักษาฉันได้ เจ้าอยากได้อะไรฉันจะรวบรวมมาให้" ชายหนุ่มคนนี้กล่าวว่า "ฉันไม่สามารถทำให้ใครหายจากเจ็บป่วยได้ ผู้ที่หายแท้จริงนั้นคือ อัลลอฮฺ ถ้าเจ้าศรัทธาในอัลลอฮฺ ฉันขอดุอาต่ออัลลออฺ พระองค์ก็ทำให้เจ้าหาย" ชายคนนี้ก็ศรัทธาในอัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็ได้ทำให้เขาหายจากเจ็บป่วย จากนั้นเขาก็ได้ไปหากษัตริย์ นั่งใกล้กษัตริย์อย่างที่เคยทำ กษัตริย์ก็ทำเขาว่า " ใครทำให้ตาของเจ้าหายจากบอด" เขาก็ตอบว่า "พระเจ้าของฉัน -ผู้ทรงสูงส่ง-" กษัตริย์กล่าวว่า "เจ้ามีพระเจ้าเหนือจากฉันอีกหรือ?" เขาก็ตอบว่า "พระเจ้าของฉัน ก็พระเจ้าของเจ้า คือ อัลลออฺ" กษัตริย์ก็จับชายคนนั้น ลงโทษเขา จนเขาอ้างถึงชายหนุ่ม และพาชายหนุ่มคนนั้นมา กษัตริย์ก็ได้กล่าวแก่ชานหนุ่มว่า " เจ้าเด็กน้อย เจ้าได้บรรลุในวิชาโหรแล้ว เจ้าสามารถรักษาคนตาบอด รักษาโรคเรื้อนได้ และทำนั้น ทำนี้ได้" เด็กหนุ่มคนนี้กล่าวว่า "ฉันไม่ได้รักษาใคร ผู้ที่รักษาให้หายจริงคืออัลลออฺ" กษัตริย์ก็จับเด็กหนุ่มคนนี้ลงโทษ จนอ้างถึงนักพรต แล้วนำนักพรตคนนั้มมา กล่าวแก่นักพรตว่า "เจ้าจงจากศาสนาของเจ้า" นักพรตปฎิเสธที่จะทำตามคำสั่งกษัตริย์ กษัตริย์ก็ได้สั่งให้วางเลื้อยบนหัวนักพรตจนหัวแยกออกเป็นสองและล้มลงบนพื้น จากนั้นก็ไปหาที่ปรึกษาของกษัตริย์ และกล่าวว่า "เจ้าจงจากศาสนาของเจ้า" ที่ปรึกษาก็ปฎิเสธ จึงได้นำเลี้อยมาเลี้อยตรงกลางหัวของที่ปรึกษาจนแยกเป็นสองส่วนและล้มลงกับพื้น จากนั้นก็หันไปทางเด็กหนุ่ม แล้วกล่าวแก่เด็กหนุ่มคนนี้ว่า "เจ้าจงจากศาสนาของเจ้า" เด็กหนุ่มก็ปฏิเสธ เขาจึงให้เด็กหนุ่มนี้แก่สหายของเขาและบอกว่า "พวกเจ้าจงไปที่เขาอย่างนั้นอย่างนี้แล้วพาเขาขึ้นภูเขา เมื่อถึงจุดสุดยอดของภูเขาแล้ว ให้เขาละทิ้งศาสนาของเขาถ้าเขาไม่ละทิ้งก็ทิ้งเขา. พวกเขาก็พาเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นเขา เด็กหนุ่มก็กล่าวว่า " โอ้อัลลอฮฺ เพียงพอสำหรับฉันกับพวกเขา แล้วแต่พระองค์ทรงประสงค์" เทือกเขานั้นก็มีการสั่นไหว พวกเขาเหล่านั้นก็ตกเขา เด็กหนุ่มก็เดินกลับไปหากษัตริย์ กษัตริย์ก็ถามเขาว่า "สหายของเจ้าไปไหน" เขาตอบว่า "อัลลอฮฺให้ความเพียงพอสำหรับฉันด้วยพวกเขา" กษัตริย์ก็ให้เขาไปกับสหายของพระองค์อีกกลุ่ม และกล่าวแก่พวกเขาว่า "เจ้าจงนำเขาไปขึ้นเรือไปสู่ท้องทะเล ถ้าเขาละทิ้งศาสนาของเขาก็นำเขากลับ ถ้าไม่ก็ทิ้งเขา" พวกเขาก็นำเด็กหนุ่มไป เด็กหนุ่มก็กล่าวว่า "โอ้อัลลอฮฺ เพียงพอสำหรับฉันกับพวกเขา ตามที่พระองค์ทรงประสงค์" จากนั้นเรือก็ได้ล้ม พวกเขาเหล่านั้นก็จมน้ำ เด็กหนุ่มก็เดินกลับไปหากษัตริย์ กษัตริย์ก็ถามเขาว่า "บรรดาสหายของเจ้าทำอะไรบ้าง" เขาตอบว่า "อัลลอฮฺให้ความเพียงพอสำหรับฉันด้วยพวกเขา" และเขากล่าวแก่กษัตริย์อีกว่า "ท่านไม่สามารถฆ่าฉันได้ เว้นแต่ทำตามที่ฉันบอก" กษัตริย์ก็ถามว่า "ทำยังไง" เขาตอบว่า "รวมรวมผู้คนให้อยู่ในที่เดียวกัน และแขวนฉันกับต้นไม้ แล้วนำลูกธนูจากซองธนูของฉัน แล้ววางลูกธนูที่คันธนู ก่อนยิงกล่าวว่า : ด้วยพระนามของพระเจ้าของเด็กหนุ่ม แล้วยิงฉัน ถ้าท่านทำแบบนี้ท่านก็สามารถที่จะฆ่าฉันได้" จากนั้นกษัตริย์ก็ได้รวบรวมผู้คนในที่เดียวกัน แขวนเด็กหนุ่มกับต้นไม้ แล้วเอาลูกธนูจากซองธนูของเด็กหนุ่มนี้ แล้ววางบนคันธนู ก่อนยิ่งกล่าว่า "ด้วยพระนามของพระเจ้าของเด็กหนุ่มนี้" แล้วยิง ลูกธนูที่ยิงไปเสียบที่แก้มของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มก็เอามือของเขาปิดที่ลูกธนูนั้นแล้วเสียชีวิต ผู้คนก็พากันกล่าวว่า "เราได้ศรัทธากับพระเจ้าของเด็กหนุ่มนี้" สามครั้ง แล้วไปหากษัตริย์ และกล่าวว่า "ท่านไม่เห็นหรือ สิ่งที่ท่านระแวง แท้จริงอัลลอฮฺได้ประทานในสิ่งที่ท่านระแวงแล้ว และมวลมนุษย์ก็ได้ศรัทธา(ในอัลลอฮฺ)" กษัตริย์ก็ได้สั่งให้ขุดหลุมเพลาะกั้นทาง แล้วก่อไฟ(ในหลุมเพลาะ)นั้น และกล่าวว่า "ถ้าใครไม่ละจากศาสนาของเขาก็ทิ้งเขาลงในไฟ หรือบอกแก่เขาว่า "จงกระโดดลงไป" " พวกเขากก็ได้กระทำอย่างที่กษัตริย์สั่ง จนกระทั้งสตรีนางหนึ่งมาพร้อมลูกที่เป็นทารก ก็มีความลังเลที่กระโดดลงไป ทารกของนางจึงได้กล่าวว่า "โอ้ คุณแม่ จงอดทนเถิด ท่านแม่อยู่บนความถูกต้อง" (คุณแม่ก็กระโดดลงไปในไฟในหลุมเพลาะนั้น). (บันทึกโดย มุสลิม หะดีษที่ 5331)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น